คนไทยได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ซึ่งเป็นวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA กันแล้ว โดยเริ่มฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มผู้ป่วยโรคเสี่ยงต่าง ๆ หญิงตั้งครรภ์ รวมไปถึงเหล่านักเรียน อายุ 12-18 ปี และทยอยให้คนทั่วไปได้ฉีดทั้งแบบเข็มที่ 1-2 และฉีดเป็นวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 3 นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังเพิ่งอนุมัติให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์กับเด็กอายุ 5-11 ขวบด้วยอีกกลุ่ม
พอจะได้ฉีดไฟเซอร์กันจริง ๆ หลายคนก็คงอยากรู้ถึงผลข้างเคียงหรืออาการหลังฉีดไฟเซอร์ว่ามีข้อควรระวังอะไรหรือไม่ งั้นก็อย่ารอช้ากันเลย
อ่านเพิ่มเติมเรื่องฉีด astrazeneca ดีไหม
สำหรับผู้ฉีดวัคซีนอายุ 16 ปีขึ้นไป
- ปวดบริเวณที่ฉีด พบมากกว่า 80%
- อ่อนล้า พบมากกว่า 60%
- ปวดศีรษะ พบมากกว่า 50%
- ปวดกล้ามเนื้อและหนาวสั่น พบมากกว่า 30%
- ปวดข้อ พบมากกว่า 20%
- มีไข้ พบมากกว่า 10%
- บวมบริเวณที่ฉีด พบมากกว่า 10%
โดยอาการเหล่านี้จะหายเป็นปกติภายในไม่กี่วันหลังฉีดวัคซีน
สำหรับผู้ฉีดวัคซีนอายุ 12-15 ปี
- ปวดบริเวณที่ฉีด พบมากกว่า 90%
- อ่อนล้า พบมากกว่า 70%
- ปวดศีรษะ พบมากกว่า 70%
- ปวดกล้ามเนื้อและหนาวสั่น พบมากกว่า 40%
- มีไข้ พบมากกว่า 20%
- ปวดข้อ พบมากกว่า 20%
- คลื่นไส้ อาเจียน พบน้อยกว่า 10%
- ผิวหนังแดงบริเวณที่ฉีดยา พบน้อยกว่า 10%
ส่วนอาการอื่น ๆ ที่พบได้ไม่บ่อย (น้อยกว่า 1%) เช่น
- ภาวะต่อมน้ำเหลืองโต
- ผื่น คัน ลมพิษ
- นอนไม่หลับ
- ปวดตามแขน-ขา
- ความรู้สึกไม่สบาย
- คันบริเวณที่ฉีดยา
ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัว
อาการไม่สบายข้างต้นเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายที่กำลังสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งบางคนอาจไม่แสดงอาการก็ได้ และไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด ส่วนคนที่มีอาการหลังฉีดก็มักจะหายใน 1-2 วัน โดยในระหว่างที่มีอาการก็มีข้อปฏิบัติที่แนะนำ ดังนี้
* ประคบแขนที่ปวดบวมด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำเย็น งดยกของหนัก
* ดื่มน้ำมาก ๆ
* หากมีไข้สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล บรรเทาอาการปวด ลดไข้ ได้ทุก 6 ชั่วโมง
* หากมีอาการข้างเคียงนานเกิน 2 วัน หรือมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์
อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิด
ใครเสี่ยงบ้าง
ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (CDC) เมื่อเดือนตุลาคม 2564 พบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ชายอายุ 12-29 ปี ที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ สูงกว่าเพศหญิง โดยเกิดอาการขึ้นภายใน 30 วัน หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มากกว่าเข็มที่ 1 แต่ส่วนมากมีอาการไม่รุนแรง เมื่อรักษาอย่างถูกต้องก็สามารถหายกลับมาเป็นปกติได้ ขณะที่ผู้ใหญ่จะมีความเสี่ยงในการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบลดลงเรื่อย ๆ และอัตราต่ำมาก คือไม่ถึง 1 ในล้าน ดังข้อมูลต่อไปนี้
ผู้ชาย
- อายุ 12-15 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 39.9 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 16-17 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 69.1 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 18-24 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 36.8 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 25-29 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 10.8 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 30-39 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 5.2 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 40-49 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 2.0 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 50-64 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 0.3 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 65 ปีขึ้นไป เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 0.1 คน ใน 1 ล้านคน
ผู้หญิง
- อายุ 12-15 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 3.9 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 16-17 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 7.9 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 18-24 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 2.5 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 25-29 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 1.2 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 30-39 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 0.7 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 40-49 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 1.1 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 50-64 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 0.5 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 65 ปีขึ้นไป เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็มที่ 2 เท่ากับ 0.3 คน ใน 1 ล้านคน
สำหรับในประเทศไทย จากข้อมูลจนถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วประมาณ 1.7 ล้านโดส พบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 3 คน ซึ่งผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงและรักษาหายเป็นปกติแล้ว
เกิดจากอะไร
ปกติแล้วภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรืออาจเป็นผลกระทบจากการใช้ยาบางชนิด ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน หรือเป็นผลจากการอักเสบอื่น ๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจ
แต่ในกรณีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด มีเพียงการสันนิษฐานว่า ตัววัคซีนหรือสารประกอบในวัคซีนอาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้ โดยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่สังเกตได้ ได้แก่
- เจ็บแน่นหน้าอก (แบบเฉียบพลันและอาการคงอยู่)
- เหนื่อยง่าย
- หายใจหอบ หายใจสั้น
- รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว หรือใจสั่น
- หากอาการรุนแรงอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือช็อกได้
กรณีเป็นผู้ใหญ่จะพบอัตราเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบน้อยมาก เพราะส่วนมากจะพบภาวะดังกล่าวในคนอายุ 12-24 ปี และมักพบในผู้ชายมากกว่า ซึ่งหลายคนมีอาการน้อยมาก หรือไม่มีอาการเลย แต่จะตรวจพบจากการเจาะเลือดหรือการตรวจในห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตอบสนองต่อการรักษา สามารถรักษาหายเป็นปกติได้ในเวลาไม่นาน
ดังนั้น หากเป็นผู้ใหญ่สามารถฉีดวัคซีนชนิด mRNA ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากนัก แต่ถ้าเป็นเพศชาย อายุ 12-24 ปี ควรศึกษาข้อมูลให้ดี ซึ่งราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในเด็ก (ฉบับที่ 4) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2564 ดังนี้
- เด็กและวัยรุ่นอายุ 16-18 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ได้ทุกรายที่ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
- เด็กอายุ 12 ปี ถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง มีโรคประจำตัว แนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม
- เด็กผู้หญิงอายุ 12-15 ปี ทุกคน สามารถรับวัคซีนไฟเซอร์ได้ 2 เข็ม
- เด็กผู้ชายอายุ 12 ปี ถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่แข็งแรงดี ให้วัคซีนไฟเซอร์ 1 เข็ม ส่วนเข็มที่ 2 แนะนำให้ฉีดห่างจากเข็มที่ 1 ประมาณ 8-12 สัปดาห์ จะดีกว่า 3-4 สัปดาห์ เพราะการเพิ่มระยะห่างระหว่างเข็มที่ 1 กับ 2 จะทำให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ระยะเวลาป้องกันนานขึ้น และอาจลดความเสี่ยงการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้
นอกจากนี้ สำหรับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์แล้ว ควรงดออกกำลังกายอย่างหนัก หรืองดการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ภายหลังฉีดวัคซีนไม่ว่าจะเข็มที่ 1 หรือเข็มที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและวัยรุ่นชาย เพื่อไม่ให้หัวใจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น และหากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อย หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม ควรรีบพบแพทย์
จากเดิมวัคซีนไฟเซอร์จะใช้สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปเท่านั้น กระทั่งคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาไฟเขียวให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์กับเด็กอายุ 5-11 ขวบ ก็ทำให้หลายประเทศเดินหน้าฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กทันที รวมทั้งประเทศไทย ที่เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโคเมอร์เนตี (COMIRNATY VACCINE) ของบริษัท ไฟเซอร์ จำกัด กับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ขวบ เพื่อป้องกันโควิด 19
อย่างไรก็ตาม ปริมาณของวัคซีนที่ใช้กับเด็กอายุ 5-11 ขวบ จะลดลงเหลือ 10 ไมโครกรัม น้อยกว่าปริมาณที่ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป 1 ใน 3 (ปกติฉีด 30 ไมโครกรัม) โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ระยะห่างกัน 3-12 สัปดาห์ (21-84 วัน)
ในส่วนของอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ขวบ ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาพบว่า ส่วนใหญ่เป็นอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน ขณะที่ภาวะกล้ามเนื้ออักเสบนั้น จากการฉีดวัคซีนไป 7 ล้านโดส พบมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเพียง 8 ราย คิดเป็น 1.14 คน ใน 1 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าที่พบในเด็กอายุ 12-17 ปี
วัคซีนไฟเซอร์เด็ก 5-11 ขวบ มีประสิทธิภาพแค่ไหน ผลข้างเคียงเป็นยังไง ผู้ปกครองควรรู้ !
ภาพจาก tunasalmon / Shutterstock
วัคซีนไฟเซอร์ เป็นวัคซีนชนิด mRNA (mRNA Vaccines) ที่ผลิตโดยใช้สารพันธุกรรม RNA ของไวรัสที่ก่อโรคโควิด 19 ส่วนที่สร้างโปรตีนหนามแหลมแล้วห่อหุ้มด้วยไขมัน ฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้เซลล์ของเราสร้างหนามแหลมโปรตีนมากระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานต่อ COVID-19 โดยมีรายละเอียดของวัคซีนและข้อดี-ข้อจำกัด ดังนี้
- ชื่อวัคซีน : BNT162b2 เป็นวัคซีนชนิด mRNA
- ผู้พัฒนา : บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) จากสหรัฐอเมริกา และบริษัทไบออนเทค (BioNTech) ของเยอรมนี
- อายุของผู้ได้รับวัคซีน : 12 ปีขึ้นไป
- ต้องฉีดกี่โดส : 2 เข็ม ระยะห่างกัน 21 วัน
- ปริมาณที่ฉีด : อายุ 12 ปีขึ้นไป ฉีดขนาด 30 ไมโครกรัม (ปริมาณ 0.3 มิลลิตร)
- ราคาวัคซีนโควิด Pfizer สูตรสำหรับผู้ใหญ่ : 19.5 ดอลลาร์สหรัฐ/โดส (ประมาณ 633 บาท/โดส)
- การเก็บรักษา สูตรสำหรับผู้ใหญ่ : เก็บในอุณหภูมิ -90ºC ถึง -60ºC ได้ 6 เดือน / เก็บในอุณหภูมิ 2-8ºC ได้ 1 เดือน
ข้อดี
- หลังจากฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 แล้ว จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด 19 สูงถึง 91.3% ในช่วง 7 วัน ถึง 6 เดือน หลังฉีด
- ป้องกันความรุนแรงของโรคได้ 100%
- ป้องกันการติดเชื้อมีอาการที่ 94%
- ป้องกันการติดโรค 96.5%
- ป้องกันการเสียชีวิต 98-100%
- สามารถป้องกันโควิด 19 สายพันธุ์อังกฤษ หรืออัลฟา ได้ถึง 89.5%
- ป้องกันโควิด 19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ หรือเบตา ได้ถึง 75%
- มีประสิทธิภาพ 88% ในการป้องกันการป่วยแบบมีอาการจากไวรัสเดลตา หรือสายพันธุ์อินเดีย
- เป็นวัคซีนที่สามารถผลิตได้ง่ายในโรงงาน และผลิตได้จำนวนมากอย่างรวดเร็ว
- สามารถปรับปรุงวัคซีนเพื่อรองรับสายพันธุ์ หากมีการกลายพันธุ์ได้ง่าย
ข้อจำกัด
- วัคซีน mRNA สลายตัวได้ง่าย จึงต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งมาก คือ -90ºC ถึง -60ºC ทำให้ขนส่งได้ยาก แต่ถ้าเก็บในอุณหภูมิที่สูงขึ้น จะมีอายุการใช้งานสั้นลงมาก
- เป็นวัคซีนที่เข้มข้น จึงต้องเจือจางด้วยน้ำเกลือ 0.9% ก่อน ซึ่งหลังเจือจางแล้ววัคซีนจะอยู่ได้ภายใน 6 ชั่วโมง และไม่ควรให้ถูกแสงใด ๆ
- เป็นเทคโนโลยีใหม่ เพราะในอดีตยังไม่มีวัคซีนที่ผลิตด้วยกระบวนการนี้ได้รับอนุมัติให้ใช้ในมนุษย์มาก่อน จึงต้องติดตามดูผลในระยะยาวหลายปี
บทความที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด
- วัคซีนโควิดฉีดดีไหม คนมีโรคประจำตัวแบบไหน ใครฉีดได้-ไม่ได้
- ก่อนฉีดวัคซีนโควิดต้องเตรียมตัวอย่างไร ห้ามกินอะไรบ้าง
- เช็กอาการหลังฉีดวัคซีนโควิด แบบไหนหายเองได้ หรืออันตรายต้องรีบหาหมอ !
- 12 วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ห้ามกินอะไรบ้าง
- อาการหลังฉีดวัคซีน AstraZeneca แบบไหนต้องเฝ้าระวังใน 4-30 วัน
- ติดโควิดหายแล้วต้องฉีดวัคซีนไหม มีโอกาสติดเชื้อซ้ำหรือเปล่า
- ฉีดวัคซีนโควิดได้ไหม ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด แพ้ยา แพ้อาหาร
- กินยาคุมฉีดวัคซีนโควิดได้ไหม จะเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน หรือต้องหยุดยาก่อนหรือเปล่า ?
- กินยาไมเกรน ฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ไหม หรือต้องหยุดยาก่อน-หลังฉีด
- ยาที่ห้ามกินก่อนฉีดวัคซีนโควิดมีไหม เช็กให้ชัวร์ ยาอะไรกินได้ หรือควรงด
- แพ้วัคซีน อาการเป็นยังไง สัญญาณไหนต้องเอะใจ รีบไปหาหมอ
- เป็นไข้ เป็นหวัด ฉีดวัคซีนได้ไหม อันตรายหรือเปล่า
- ก่อนฉีดวัคซีนโควิดกินยาพาราได้ไหม ช่วยดักไข้ได้หรือเปล่า
- ติดโควิดไม่รู้ตัว แล้วไปฉีดวัคซีนโควิด จะเป็นอะไรไหม อันตรายหรือเปล่า ?
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 29 ธันวาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักคณะกรรมการอาหารและยา (1), (2)
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
cdc.gov (1), (2)
cnbc
BBC ไทย
publichealth.lacounty.gov
โรงพยาบาลวิชัยเวช
ศูนย์ข้อมูล COVID-19
จส.100
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (1), (2), (3), (4)
เฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha
fda.gov (1), (2)