ตรวจโควิด 19 ที่ไหนดี ตรวจฟรีทำยังไง ถ้าตรวจเจอต้องทำอะไรต่อ ?
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจโควิด 19 ทุกประเด็น ใครควรไปตรวจบ้าง ตรวจที่ไหนดี อาการแบบไหนถึงจะได้ตรวจฟรี ใครยังสงสัยมาอ่าน !
เดี๋ยวนี้ใครมีอาการไอนิด จามหน่อย ก็รู้สึกจิตตกไปหมดแล้ว เพราะไม่รู้ว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาโดยไม่รู้ตัวแล้วหรือเปล่า แต่ถ้าจะให้ไปตรวจโควิด 19 โดยที่อาการยังไม่ชัดเจน แล้วเราเองก็อาจไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง คงต้องเสียเงินฟรีแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นมาทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการตรวจโควิด 19 เพื่อเป็นไกด์ไลน์กันดีกว่า
ใครเข้าข่ายต้องสงสัย ควรไปตรวจโควิด 19 ?
ควรไปตรวจหรือไม่ ลองดูตารางนี้

ตรวจโควิดฟรี มีเกณฑ์แบบนี้
ผู้ที่สามารถตรวจโควิด 19 ได้ฟรี จะต้องมีอาการป่วย และมีประวัติเสี่ยง ดังนี้
อาการป่วย
อาการป่วย
มีอาการทางเดินหายใจ ข้อใดข้อหนึ่ง ได้แก่
- ไอ
- มีน้ำมูก
- เจ็บคอ
- หายใจเร็วเหนื่อย หายใจลำบาก
- จมูกไม่ได้กลิ่น หรือลิ้นไม่รับรส
* ถ้ามีอาการ ให้สังเกตย้อนหลังไป 14 วัน ก่อนวันที่เริ่มป่วย
ว่าเข้าข่าย "ประวัติเสี่ยง" ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้หรือไม่
ว่าเข้าข่าย "ประวัติเสี่ยง" ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้หรือไม่
ประวัติเสี่ยง
- เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
- ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
- สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยสงสัย หรือผู้ป่วยยืนยัน
- เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน
(ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์)
- เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
- ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
- สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยสงสัย หรือผู้ป่วยยืนยัน
- เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน
(ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์)
*หากไม่มีอาการ และไม่มีประวัติเสี่ยง : ไม่ต้องไปตรวจ
*หากไม่มีอาการ แต่มีประวัติเสี่ยง : ให้กักตัว 14 วัน เพื่อดูอาการ หรือหากอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด หรือเดินทางไปยังจุดที่มีการระบาด ให้ติดตามประกาศจากทางการ ซึ่งอาจจะให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ฟรีด้วย แม้ยังไม่มีอาการ
*หากมีอาการ แต่ไม่มีประวัติเสี่ยง : อาจป่วยด้วยโรคหวัด หรือโรคอื่น ให้รักษาตามอาการ แต่ถ้าผ่านไป 48 ชั่วโมงแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์
*หาก "มีอาการป่วย" และ "มีประวัติเสี่ยง" : เข้าเกณฑ์ตรวจโควิด 19 สามารถเข้าตรวจในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ (บัตรทอง ประกันสังคม ราชการ) ไม่ว่าจะได้ผลบวกหรือผลลบก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย
*หากไม่มีอาการ แต่มีประวัติเสี่ยง : ให้กักตัว 14 วัน เพื่อดูอาการ หรือหากอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด หรือเดินทางไปยังจุดที่มีการระบาด ให้ติดตามประกาศจากทางการ ซึ่งอาจจะให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ฟรีด้วย แม้ยังไม่มีอาการ
*หากมีอาการ แต่ไม่มีประวัติเสี่ยง : อาจป่วยด้วยโรคหวัด หรือโรคอื่น ให้รักษาตามอาการ แต่ถ้าผ่านไป 48 ชั่วโมงแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์
*หาก "มีอาการป่วย" และ "มีประวัติเสี่ยง" : เข้าเกณฑ์ตรวจโควิด 19 สามารถเข้าตรวจในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ (บัตรทอง ประกันสังคม ราชการ) ไม่ว่าจะได้ผลบวกหรือผลลบก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย
ปักหมุดตรวจโควิด 19 ที่ไหนได้บ้าง ?
จุดตรวจ COVID-19 ฟรี
รถตรวจโควิด 19 เคลื่อนที่ของ กทม.
- ต้องทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อนที่ BKK covid-19
- หากทำแบบประเมินแล้วเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงสีแดง เจ้าหน้าที่จาก กทม. จะโทรศัพท์ไปประเมินอาการอีกครั้ง
- หากเข้าเกณฑ์ รถบริการเคลื่อนที่พร้อมเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ไปทดสอบการติดเชื้อ (SWAB) ถึงบ้านหรือสถานที่ใกล้เคียง ฟรี !
- นำตัวอย่างทดสอบส่งตรวจในห้องแล็บของโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, วชิรพยาบาล
- หากพบว่าติดเชื้อ กทม. จะจัดรถฉุกเฉินเพื่อรับตัวไปรักษาในโรงพยาบาลต่อไป
- หากทำแบบประเมินแล้วเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงสีแดง เจ้าหน้าที่จาก กทม. จะโทรศัพท์ไปประเมินอาการอีกครั้ง
- หากเข้าเกณฑ์ รถบริการเคลื่อนที่พร้อมเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ไปทดสอบการติดเชื้อ (SWAB) ถึงบ้านหรือสถานที่ใกล้เคียง ฟรี !
- นำตัวอย่างทดสอบส่งตรวจในห้องแล็บของโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, วชิรพยาบาล
- หากพบว่าติดเชื้อ กทม. จะจัดรถฉุกเฉินเพื่อรับตัวไปรักษาในโรงพยาบาลต่อไป
* กรณีเดินทางไปยังจุดที่มีการระบาดตามประกาศ ให้ตรวจสอบที่ bkkcovid19 และกดปุ่ม "ติดต่อ" เพื่อติดต่อสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
รถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัย พระราชทาน
จะออกตรวจหาโรค COVID-19 ให้พื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อ และมีการแพร่ระบาด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง
สถานพยาบาลที่รับตรวจโควิด 19
ผู้ที่ "มีอาการป่วย" และ "มีประวัติเสี่ยง" สามารถตรวจได้ฟรีตามสิทธิ์รักษาพยาบาล แต่หากไม่เข้าเกณฑ์ตรวจฟรีจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจเอง โดยมีจุดที่รับตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่หลายโรงพยาบาล อาทิ
โรงพยาบาลรัฐ
- สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ค่าใช้จ่าย 1,500 บาท
- สถาบันบำราศนราดูร ค่าใช้จ่าย 2,500-3,500 บาท
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ค่าใช้จ่าย 3,000-6,000 บาท ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ตรวจ
- โรงพยาบาลรามาธิบดี ค่าใช้จ่าย คนไทยไม่เกิน 2,500 บาท ชาวต่างชาติไม่เกิน 3,500 บาท
- โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท
- โรงพยาบาลศิริราช ค่าใช้จ่าย 2,000-3,000 บาท (รับตรวจเฉพาะกลุ่มเสี่ยง)
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ค่าใช้จ่าย 7,000-8,000 บาท (ไม่รวมค่าบริการอื่น ๆ)
โรงพยาบาลเอกชน
- โรงพยาบาลกรุงเทพ ค่าใช้จ่าย 6,500 บาท
- โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ค่าใช้จ่าย 6,800 บาท ในกรณีที่มีอาการป่วยและอยากเช็กว่าติดโควิดหรือเปล่า แต่สำหรับคนสุขภาพดี ไม่มีอาการป่วย ที่ต้องการตรวจเพื่อรับใบรับรองแพทย์ในการไปต่างประเทศ ราคาตรวจจะอยู่ที่ 5,800 บาท
- โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ค่าใช้จ่าย 5,000 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท หากต้องการใบรับรองแพทย์มีค่าบริการเพิ่ม 500 บาท
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท (สำหรับคนไทย)
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สระบุรี ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ฉะเชิงเทรา ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ ค่าใช้จ่าย 3,700 บาท
- โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท หากต้องการใบรับรองแพทย์มีค่าบริการเพิ่ม 500 บาท
- โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ค่าใช้จ่าย เริ่มต้นที่ 4,500 บาท
- โรงพยาบาลนครธน ค่าใช้จ่าย 3,740 บาท
- โรงพยาบาลนวมินทร์ ค่าใช้จ่าย 2,990 บาท
- โรงพยาบาลนันอา ค่าใช้จ่าย 1,100 บาท หากต้องการใบรับรองแพทย์ ค่าใช้จ่าย 1,500 บาท
- โรงพยาบาลบางปะกอก 9 ค่าใช้จ่าย 3,800 บาท (สำหรับคนไทย) 4,500 บาท (สำหรับต่างชาติ)
- โรงพยาบาลบางปะกอก-รังสิต 2 ค่าใช้จ่าย 4,500 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลบางโพ ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ค่าใช้จ่ายประมาณ 7,500 บาท
- โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล พหลโยธิน ค่าใช้จ่าย 5,500 บาท (สำหรับคนไทย) ราคา 6,000-7,500 บาท (สำหรับต่างชาติ)
- โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล เกษตร ค่าใช้จ่าย 5,500 บาท
- โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล โชคชัย 4 ค่าใช้จ่าย 6,700 บาท
- โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล รังสิต ค่าใช้จ่าย 6,000-8,000 บาท ไม่รวมค่ายา
- โรงพยาบาลพญาไท 1 ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท
- โรงพยาบาลพญาไท 2 ค่าใช้จ่าย 6,500 บาท (รวมค่าบริการทุกอย่างแล้ว)
- โรงพยาบาลพญาไท 3 ค่าใช้จ่าย 4,000 บาท
- โรงพยาบาลพระราม 9 ค่าใช้จ่าย 6,500 บาท
- โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ค่าใช้จ่าย 3,800 บาท
- โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ค่าใช้จ่าย 5,000 บาท
- โรงพยาบาลรามคำแหง ค่าใช้จ่าย 3,000-5,400 บาท
- โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ค่าใช้จ่าย 5,500-6,000 บาท (ยังไม่รวมค่าแพทย์)
- โรงพยาบาลวิภาวดี ค่าใช้จ่าย 5,990 บาท หากต้องการใบรับรองแพทย์มีค่าบริการเพิ่ม 500 บาท
- โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท
- โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา ค่าใช้จ่าย 3,000 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลสินแพทย์ เทพารักษ์ ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลสินแพทย์ กาญจนบุรี ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ค่าใช้จ่าย 6,500 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลสุขุมวิท ค่าใช้จ่าย 5,500 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลมหาชัย 2 ค่าใช้จ่าย 4,500 บาท (Drive Thru)
- โรงพยาบาลเอกชัย สมุทรสาคร ค่าใช้จ่าย 4,000 บาท
- โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ค่าใช้จ่าย 3,800 บาท
- โรงพยาบาลสิริเวช จันทบุรี ค่าใช้จ่าย 4,500 บาท
- โรงพยาบาลขอนแก่น ราม ค่าใช้จ่าย 2,500 บาท
- โรงพยาบาลอุบลรักษ์ ธนบุรี อุบลราชธานี ค่าใช้จ่าย 5,500 บาท
- โรงพยาบาลราชเวชอุบลราชธานี ค่าใช้จ่าย 5,900-6,900 บาท
- โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่ ค่าใช้จ่าย 6,500 บาท
- โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม ค่าใช้จ่าย 3,900-4,500 บาท
- โรงพยาบาลพะเยา ราม ค่าใช้จ่าย 3,500 บาท
รายชื่อห้องปฏิบัติการตรวจโควิด 19
หากไปตรวจหาเชื้อในโรงพยาบาลที่มีห้องปฏิบัติการตรวจโควิด-19 ก็จะสามารถยืนยันผลได้เร็วกว่า โดยโรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการที่อยู่ในเครือข่ายตรวจ SARS-Cov-2 (ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วันที่ 30 ธันวาคม 2563) มีดังนี้

ภาพจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
FAQ ตอบคำถามฮิต เรื่องตรวจโควิด 19

1. ใครมีสิทธิ์ตรวจโควิด 19 ฟรี ?
ต้องเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงทั้ง 2 ข้อ คือ
- มีอาการ : มีอาการทางเดินหายใจข้อใดข้อหนึ่ง (ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเร็วเหนื่อย หายใจลำบาก หรือจมูกไม่ได้กลิ่น)
- มีประวัติเสี่ยง : อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
>> เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
>> ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
>> สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยสงสัย หรือผู้ป่วยยืนยัน
>> เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน
(ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์)
- มีอาการ : มีอาการทางเดินหายใจข้อใดข้อหนึ่ง (ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเร็วเหนื่อย หายใจลำบาก หรือจมูกไม่ได้กลิ่น)
- มีประวัติเสี่ยง : อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
>> เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
>> ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
>> สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยสงสัย หรือผู้ป่วยยืนยัน
>> เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน
(ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์)
2. ไม่มีอาการป่วย-ไม่มีประวัติเสี่ยง จำเป็นต้องไปตรวจไหม ?
ไม่จำเป็นต้องไปตรวจ
3. ไม่มีอาการ แต่มีประวัติเสี่ยง ต้องไปตรวจไหม ?
ให้กักตัวอยู่ที่บ้านอย่างน้อย 14 วัน โดยแยกตัวเองออกจากคนอื่นในบ้าน ใส่หน้ากากอนามัย งดรับประทานอาหารร่วมกัน งดใช้ของส่วนตัวร่วมกัน หากมีอาการป่วยระหว่างกักตัว ให้ไปตรวจหาเชื้อ หรือโทร. 1422 กรมควบคุมโรค
ทั้งนี้ กรณีอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือเคยเดินทางไปยังจุดแพร่ระบาด ให้ฟังประกาศจากทางการอีกครั้ง เนื่องจากอาจขอให้เข้ามาตรวจหาเชื้อด้วย แม้จะยังไม่มีอาการ
ทั้งนี้ กรณีอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือเคยเดินทางไปยังจุดแพร่ระบาด ให้ฟังประกาศจากทางการอีกครั้ง เนื่องจากอาจขอให้เข้ามาตรวจหาเชื้อด้วย แม้จะยังไม่มีอาการ
4. เตรียมตัวอย่างไรเมื่อจะเดินทางไปตรวจหาเชื้อ ?
- สวมหน้ากากอนามัย
- พกเจลล้างมือติดตัว
- ขับรถส่วนตัวไปโรงพยาบาล หรือโทร. 1422 เรียกรถพยาบาลมารับ
- ไม่ควรเดินทางด้วยพาหนะสาธารณะ
- พกเจลล้างมือติดตัว
- ขับรถส่วนตัวไปโรงพยาบาล หรือโทร. 1422 เรียกรถพยาบาลมารับ
- ไม่ควรเดินทางด้วยพาหนะสาธารณะ
5. มีวิธีการตรวจหาเชื้อแบบไหนบ้าง
การตรวจแล็บเพื่อหาเชื้อ ปัจจุบันมี 3 วิธี
1. ตรวจหาเชื้อในทางเดินหายใจ (Real-time RT PCR) ใช้วิธีป้ายเยื่อบุในคอ หรือป้ายเนื้อเยื่อหลังโพรงจมูก เพื่อนำเชื้อไวรัสในเซลล์มาตรวจ หรือหากเชื้อลงปอดก็ต้องนำเสมหะที่อยู่ในปอดออกมาตรวจ
2. ตรวจด้วยการเจาะเลือด (Rapid Test) ไม่ใช่การตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันหลังจากมีอาการป่วยราว 5-7 วัน
3. การตรวจหาเชื้อในน้ำลาย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะใช้วิธีนี้ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และการค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการในชุมชน เนื่องจากมีข้อดีคือ ราคาถูก เก็บตัวอย่างได้ง่ายกว่า สามารถเก็บได้ด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีการตรวจดังกล่าวโรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทำการวิจัยพบว่าได้ผลแม่นยำ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับวิธีการตรวจจากสารคัดหลั่งจากจมูกและคอ หรือวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR)
1. ตรวจหาเชื้อในทางเดินหายใจ (Real-time RT PCR) ใช้วิธีป้ายเยื่อบุในคอ หรือป้ายเนื้อเยื่อหลังโพรงจมูก เพื่อนำเชื้อไวรัสในเซลล์มาตรวจ หรือหากเชื้อลงปอดก็ต้องนำเสมหะที่อยู่ในปอดออกมาตรวจ
2. ตรวจด้วยการเจาะเลือด (Rapid Test) ไม่ใช่การตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันหลังจากมีอาการป่วยราว 5-7 วัน
3. การตรวจหาเชื้อในน้ำลาย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะใช้วิธีนี้ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และการค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการในชุมชน เนื่องจากมีข้อดีคือ ราคาถูก เก็บตัวอย่างได้ง่ายกว่า สามารถเก็บได้ด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีการตรวจดังกล่าวโรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทำการวิจัยพบว่าได้ผลแม่นยำ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับวิธีการตรวจจากสารคัดหลั่งจากจมูกและคอ หรือวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR)
6. หากทราบผลว่าติดเชื้อ ต้องทำอย่างไรต่อ ?
หากมีอาการป่วย แพทย์จะให้รักษาตัวในโรงพยาบาล โดยจะถูกแยกตัวในห้องแยกโรคเดี่ยว หรืออยู่ในห้องที่มีเฉพาะผู้ป่วย COVID 19 ซึ่งจะแบ่งการรักษาออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 : ไม่มีอาการ (พบได้ 20% ของผู้ติดเชื้อ)
ให้สังอาการในโรงพยาบาล 2-7 วัน จากนั้นสังเกตอาการต่อที่หอผู้ป่วยเฉพาะ หรือโรงพยาบาลเฉพาะกิจ เช่น โรงแรมที่เป็นฮอสพิเทล (Hospitel) 14 วัน นับจากตรวจพบเชื้อ เมื่อหายแล้วจะสามารถกลับบ้านได้ แต่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา อยู่ห่างจากคนอื่น 2 เมตร แยกห้องนอน ห้องทำงาน ไม่กินอาหารร่วมกับคนในบ้านจนครบ 1 เดือน
กลุ่มที่ 2 : อาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัด (อายุมากกว่า 60 ปี หรือเป็นโรคเรื้อรัง)
แพทย์รักษาตามอาการโดยให้ยารักษาไวรัสในโรงพยาบาล 2-7 วัน แล้วสังเกตอาการต่อในฮอสพิเทลจนครบอย่างน้อย 14 วัน นับจากมีอาการ เมื่อหายกลับบ้านจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับกลุ่ม 1
กลุ่มที่ 3 : อาการไม่รุนแรง คล้ายไข้หวัด ปอดปกติ แต่มีปัจจัยเสี่ยง
แพทย์จะให้ยารักษาไวรัสในโรงพยาบาล ติดตามปอด จากนั้นส่งเข้าสังเกตอาการต่อที่ฮอสพิเทลจนครบ 14 วัน นับจากมีอาการ เมื่อหายกลับบ้านจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ป่วยกลุ่ม 1 และ 2
กลุ่มที่ 4 : ปอดอักเสบไม่รุนแรง (พบผู้ป่วย 12%)
ให้ยารักษาไวรัสในโรงพยาบาล
กลุ่มที่ 5 : ปอดอักเสบรุนแรง (พบผู้ป่วย 3%)
ให้ยารักษาไวรัสในห้องไอซียู
กลุ่มที่ 1 : ไม่มีอาการ (พบได้ 20% ของผู้ติดเชื้อ)
ให้สังอาการในโรงพยาบาล 2-7 วัน จากนั้นสังเกตอาการต่อที่หอผู้ป่วยเฉพาะ หรือโรงพยาบาลเฉพาะกิจ เช่น โรงแรมที่เป็นฮอสพิเทล (Hospitel) 14 วัน นับจากตรวจพบเชื้อ เมื่อหายแล้วจะสามารถกลับบ้านได้ แต่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา อยู่ห่างจากคนอื่น 2 เมตร แยกห้องนอน ห้องทำงาน ไม่กินอาหารร่วมกับคนในบ้านจนครบ 1 เดือน
กลุ่มที่ 2 : อาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัด (อายุมากกว่า 60 ปี หรือเป็นโรคเรื้อรัง)
แพทย์รักษาตามอาการโดยให้ยารักษาไวรัสในโรงพยาบาล 2-7 วัน แล้วสังเกตอาการต่อในฮอสพิเทลจนครบอย่างน้อย 14 วัน นับจากมีอาการ เมื่อหายกลับบ้านจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับกลุ่ม 1
กลุ่มที่ 3 : อาการไม่รุนแรง คล้ายไข้หวัด ปอดปกติ แต่มีปัจจัยเสี่ยง
แพทย์จะให้ยารักษาไวรัสในโรงพยาบาล ติดตามปอด จากนั้นส่งเข้าสังเกตอาการต่อที่ฮอสพิเทลจนครบ 14 วัน นับจากมีอาการ เมื่อหายกลับบ้านจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ป่วยกลุ่ม 1 และ 2
กลุ่มที่ 4 : ปอดอักเสบไม่รุนแรง (พบผู้ป่วย 12%)
ให้ยารักษาไวรัสในโรงพยาบาล
กลุ่มที่ 5 : ปอดอักเสบรุนแรง (พบผู้ป่วย 3%)
ให้ยารักษาไวรัสในห้องไอซียู
7. ตรวจแล้วไม่เจอเชื้อ แสดงว่าไม่ได้ป่วยโควิด 19 ใช่หรือไม่ ?
ไม่เสมอไป เพราะผลลบหมายถึง "ไม่เจอเชื้อ" แต่ไม่ได้หมายความว่า "ไม่ติดเชื้อ" เช่น บางคนไม่มีอาการแต่มาตรวจ ก็มักจะไม่เจอเชื้อ แต่อาจเป็นไปได้ว่ายังอยู่ในระยะฟักตัวของโรค ดังนั้นจึงต้องเฝ้าระวังในช่วง 14 วัน หากมีอาการป่วยขึ้นมาก็ต้องมาตรวจใหม่อีกครั้ง
8. ซื้อชุดตรวจ Rapid Test มาตรวจเองได้ไหม ?
ไม่ควรซื้อมาตรวจเอง เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องระวังในการตรวจ เช่น จะตรวจพบภูมิคุ้มกันในเลือดได้ก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับเชื้อแล้วประมาณวันที่ 5-7 หลังมีอาการป่วย หากเราไม่แน่ใจเรื่องนี้อาจแปลผลผิดได้ ดังนั้น ควรให้บุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ตรวจ แปลผล และสรุปผลให้
รวมข่าวและบทความน่าสนใจ
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลจาก
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, กรมควบคุมโรค, สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร, ศูนย์ข้อมูล COVID-19
กรุงเทพธุรกิจ, ไทยพีบีเอส, กรมควบคุมโรค
ขอบคุณข้อมูลจาก
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, กรมควบคุมโรค, สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร, ศูนย์ข้อมูล COVID-19
กรุงเทพธุรกิจ, ไทยพีบีเอส, กรมควบคุมโรค