รายงานทางการแพทย์ เผย วัคซีนโควิด 19 ของบริษัท AstraZeneca-Oxford ได้ผลรวมมีประสิทธิภาพแค่ 70% เมื่อเทียบกับของบริษัท Pfizer-BioNTech และ Moderna ที่สูงถึง 95%
ทั่วโลกกำลังมองเห็นแสงแห่งความหวัง
หลังจากมีหลายบริษัทประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนโควิด 19 ที่มีประสิทธิภาพ
โดยหวังว่าจะช่วยยุติการระบาดของไวรัสโคโรนา
ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 1.3 ล้านคนทั่วโลก สำหรับประเทศไทย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลได้ลงนามในสัญญาเตรียมจัดซื้อวัคซีนโควิด 19
โดยการจองล่วงหน้าจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca)
ล่าสุด (8
ธันวาคม 2563) รายงานของสำนักข่าวอัลจาซีรา และ เว็บไซต์เดอะการ์เดียน ระบุว่า วัคซีน COVID-19 ที่ผลิตโดยบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca)
ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) ของอังกฤษ
มีประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์
โดยรายงานที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ The Lancet เผยว่า จากการทดลองฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มอาสาสมัครทั่วสหราชอาณาจักร บราซิล และแอฟริกาใต้ รวม 23,745 คน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุม 11,636 คน พบว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 62 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกลุ่มแรก คือผู้ที่ได้รับวัคซีนขนาดเต็มโดส 2 ครั้ง และมีประสิทธิภาพ 90 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกลุ่มที่สอง คือผู้ได้รับวัคซีนครั้งแรกครึ่งโดส และครั้งที่ 2 เต็มโดส
เมื่อรวมผลลัพธ์แล้วประสิทธิภาพของวัคซีน AstraZeneca-Oxford โดยรวมอยู่ที่ 70.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยังถือว่าสูงกว่าระดับขั้นต่ำ 50 เปอร์เซ็นต์ ที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา
ขณะที่วัคซีนโควิด 19 ของบริษัท ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค (Pfizer-BioNTech) และของบริษัท โมเดอร์นา (Moderna) ผู้ผลิตยารายใหญ่ในสหรัฐฯ มีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทางรัฐบาลอังกฤษได้จัดซื้อสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย และเริ่มฉีดให้กับกลุ่มผู้สูงอายุเป็นครั้งแรกของโลกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2563
อย่างไรก็ตาม วัคซีนของบริษัท AstraZeneca-Oxford ถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับการระบาดของโรคในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากมีราคาถูกกว่าและแจกจ่ายได้ง่ายกว่า
Aljazaara, The Guardian, CNBC