ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี เผยโอมิครอน กลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว HK.3 เจอในไทยแล้ว 3 ราย พบแพร่เร็วกว่าเดิมถึง 95%
จากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโควิด 19 ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 ปี ย่างเข้าปีที่ 4 พบการกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว (L455F + F456L) เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี 2566 ขณะนี้มีจำนวนถึง 2,261 ราย โดยพบในไทย 3 ราย จาก กทม. 2 ราย และจากเชียงใหม่ 1 ราย ซึ่งต้องสืบสวนโรคต่อไปว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ หากไม่เกี่ยวข้องกันอาจประเมินเบื้องต้นว่าได้มีการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่มีการกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว (L455F + F456L) ในไทยมากกว่าที่มีรายงานในฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส เพราะการตรวจโควิด 19 ด้วยเทคนิค PCR ตามด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมในระยะหลังทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกลดลงอย่างมาก จำนวนที่พบอาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรที่โผล่เพียงส่วนยอดแหลมขึ้นมาเหนือผิวน้ำเท่านั้น
ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ว่าโควิด 19 มีกลยุทธ์ใหม่ (New trick) ในการกลายพันธุ์เพื่อสลายตำแหน่งที่แอนติบอดี (ที่เกิดขึ้นในร่างกายจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ) เข้าจับกับส่วนหนามของไวรัสเพื่อการทำลายอนุภาคไวรัส ยิ่งไปกว่านั้นการกลายพันธุ์ในลักษณะนี้ยังช่วยให้ส่วนหนามสามารถเข้าจับกับผิวเซลล์มนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือมีการกลายพันธุ์สองตำแหน่งติดกัน คือ L455F และ F456L แบบพลิกขั้ว โดยการเปลี่ยนแปลงในระดับกรดอะมิโน ฟีนิลอะลานีน และลิวซีน โดยตำแหน่งที่กลายพันธุ์แรกจะพลิกขั้วจาก L เป็น F และตำแหน่งถัดมาพลิกขั้วจาก F เป็น L เมื่อรวมการเปลี่ยนแปลงสลับขั้วของสองกรดอะมิโนเข้าด้วยกันจะทำให้ส่วนหนามของไวรัสสามารถ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า การกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว ทำให้เกิด XBB สองสายพันธุ์ใหม่ขึ้น โดยที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี กำลังเฝ้าระวัง คือ
วันที่ 28 สิงหาคม 2566 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics กล่าวถึงปรากฏการณ์กลายพันธุ์คู่-พลิกขั้วของไวรัสโควิด 19 ทำให้เกิด XBB สองสายพันธุ์ใหม่ขึ้น หนึ่งในนั้นคือ HK.3 พบแล้วใน 10 ประเทศทั่วโลก โดยพบเคสในไทย 3 ราย ซึ่งเชื้อนี้เหนือกว่าสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยถึง 95%
โพสต์ดังกล่าวระบุว่า ยุทธวิธีล่าสุดของโควิด 19 เพื่อความอยู่รอดคือ การกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว (L455F + F456L) โดยมีไวรัสกลายพันธุ์ลักษณะนี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 การกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้วเป็นความพยายามล่าสุดของไวรัสโควิด 19 ในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมไปกับเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะกับผิวเซลล์มนุษย์ ทำให้ไวรัสแทรกเข้าไปติดเชื้อในเซลล์ได้ดีกว่าโอมิครอนทุกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน
จากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโควิด 19 ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 ปี ย่างเข้าปีที่ 4 พบการกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว (L455F + F456L) เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี 2566 ขณะนี้มีจำนวนถึง 2,261 ราย โดยพบในไทย 3 ราย จาก กทม. 2 ราย และจากเชียงใหม่ 1 ราย ซึ่งต้องสืบสวนโรคต่อไปว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ หากไม่เกี่ยวข้องกันอาจประเมินเบื้องต้นว่าได้มีการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่มีการกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว (L455F + F456L) ในไทยมากกว่าที่มีรายงานในฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส เพราะการตรวจโควิด 19 ด้วยเทคนิค PCR ตามด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมในระยะหลังทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกลดลงอย่างมาก จำนวนที่พบอาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรที่โผล่เพียงส่วนยอดแหลมขึ้นมาเหนือผิวน้ำเท่านั้น
ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ว่าโควิด 19 มีกลยุทธ์ใหม่ (New trick) ในการกลายพันธุ์เพื่อสลายตำแหน่งที่แอนติบอดี (ที่เกิดขึ้นในร่างกายจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ) เข้าจับกับส่วนหนามของไวรัสเพื่อการทำลายอนุภาคไวรัส ยิ่งไปกว่านั้นการกลายพันธุ์ในลักษณะนี้ยังช่วยให้ส่วนหนามสามารถเข้าจับกับผิวเซลล์มนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือมีการกลายพันธุ์สองตำแหน่งติดกัน คือ L455F และ F456L แบบพลิกขั้ว โดยการเปลี่ยนแปลงในระดับกรดอะมิโน ฟีนิลอะลานีน และลิวซีน โดยตำแหน่งที่กลายพันธุ์แรกจะพลิกขั้วจาก L เป็น F และตำแหน่งถัดมาพลิกขั้วจาก F เป็น L เมื่อรวมการเปลี่ยนแปลงสลับขั้วของสองกรดอะมิโนเข้าด้วยกันจะทำให้ส่วนหนามของไวรัสสามารถ
1. หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น โดยการสลายตำแหน่งที่แอนติบอดีจะเข้าจับกับส่วนหนามของไวรัสเพื่อทำลายอนุภาคไวรัส
2. ทำให้ส่วนหนามของไวรัสสามารถจับกับผิวเซลล์มนุษย์ (ACE2) ได้แน่นขึ้น ช่วยให้ไวรัสแทรกเข้าสู่เซลล์ได้ดียิ่งขึ้น
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า การกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว ทำให้เกิด XBB สองสายพันธุ์ใหม่ขึ้น โดยที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี กำลังเฝ้าระวัง คือ
1. GK (XBB.1.5.70) มีต้นตระกูลเป็น XBB.1.15 เกิดกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกัน คือ L455F และ F456L
2. HK.3 (XBB.1.9.2.5.1.1.3) มีต้นตระกูลมาจาก EG.5.1 มีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกัน คือ L455F และ F456L เช่นกัน
HK.3 พบแล้วใน 10 ประเทศทั่วโลก จำนวน 118 ราย พบในประเทศไทย 3 ราย HK.3 ที่พบในไทยมีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาดเหนือกว่าสายพันธุ์หลัก XBB.1.16 ที่ระบาดในไทยถึง 95% โดยศูนย์จีโนมฯ กำลังติดตามอย่างใกล้ชิด
นักวิจัยชาวจีน ดร.หยุนหลง ริชาร์ด เฉา จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้ทำการตรวจสอบในหลอดทดลองยืนยันว่า..
1. โอมิครอน XBB ที่มีการกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว (XBB*+L455F+F456L) จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดในปัจจุบัน
2. โอมิครอน XBB ที่มีการกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว (XBB*+L455F+F456L) จะจับกับผิวเซลล์มนุษย์ได้ดีที่สุดในปัจจุบัน
3. XBB ที่มีการกลายพันธุ์ที่ F456L หรือ L455F เพียงตำแหน่งเดียวจะจับกับผิวเซลล์ได้ไม่ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics