โควิดสายพันธุ์โอไมครอน เริ่มพบในหลายประเทศในยุโรป นำไปสู่มาตรการจำกัดการเดินทาง หวั่นหลบเลี่ยงภมิคุ้มกันดี พบติดมากในคนอายุน้อย โดยเฉพาะอายุ 18-34 ปี ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน
ภาพจาก Alexandros Michailidis / Shutterstock.com
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 เว็บไซต์นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า
นักวิทยาศาสตร์ต่างเร่งศึกษาเกี่ยวกับเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่
ที่เรียกว่า โอไมครอน และรัฐบาลทั่วโลกต่างเริ่มมาตรการจำกัดการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะจากประเทศในทวีปแอฟริกาใต้
จนนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าประเทศในแอฟริกา
มักจะตกเป็นเป้าของการออกนโยบายต่อต้านการเดินทางจากประเทศในฝั่งตะวันตก
ทั้งนี้ เชื้อโควิดโอไมครอน ถูกพบครั้งแรกในบอสซาวาน่า และต่อมาก็พบผู้ติดเชื้อโควิด 19สายพันธุ์นี้ในสหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย และอิสราเอล ซึ่งทุกประเทศกำลังสืบค้นหาต้นตอว่า ผู้ติดเชื้อติดเชื้อมาจากที่ไหน
ทั้งนี้ เชื้อโควิดโอไมครอน ถูกพบครั้งแรกในบอสซาวาน่า และต่อมาก็พบผู้ติดเชื้อโควิด 19สายพันธุ์นี้ในสหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย และอิสราเอล ซึ่งทุกประเทศกำลังสืบค้นหาต้นตอว่า ผู้ติดเชื้อติดเชื้อมาจากที่ไหน
ยุโรปเริ่มจำกัดการเดินทางจากประเทศในแอฟริกาใต้ - เริ่มพบผู้ติดเชื้อในยุโรปแล้ว
ทั้งนี้ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มีผู้โดยสาร 61 คนจาก 500 คนในสองเที่ยวบินที่บินมาจากทวีปแอฟริกาใต้ ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด 19 และกำลังถูกกักตัวไว้ที่อัมสเตอร์ดัม และพบว่าใน 61 คนนี้ มีบางคนติดเชื้้อไวรัสโควิดโอสายพันธุ์โอไมครอนแล้วด้วย
ด้านสหภาพยุโรป ได้จำกัดการเดินทางทั้งไปและกลับ จาก 6 ประเทศในแอฟริกาใต้ ได้แก่ บอตสวานา , เอสวาตีนี, เลโซโท, โมซัมบิก, นามิเบีย, แอฟริกาใต้ และ ซิมบับเว ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ก็จำกัดการเดินทางจากทั้ง 7 ประเทศนี้ รวมถึงจากมาลาวีเป็น 8 ประเทศ ส่วนสหราชอาณาจักร จำกัดการเดินทางจากทั้ง 8 ประเทศ และเพิ่มมาอีก 3 ประเทศคือ แองโกลาและแซมเบีย
ในขณะที่แคนาดา ออสเตรเลีย รัสเซีย ประเทศไทย ศรีลังกา สิงคโปร์ ซาอุดีอาระเบีย โมร็อกโก ต่างก็ประกาศจำกัดการเดินทางจาก 8 ประเทศในแอฟริกาใต้เช่นกัน ส่วนอิสราเอลนั้นหนักที่สุด คือจำกัดการเดินทางเข้าออกจากทุกประเทศ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายนเป็นต้นไป โดยจะปิดพรมแดนเป็นระยะ 2 สัปดาห์
ไทยออกประกาศ ห้าม 8 ประเทศจากแอฟริกาใต้เข้าไทย แม้ได้ Thailand Pass แล้ว
ภาพจาก Phill Magakoe / AFP
ประเทศไทยมีข้อกำหนดสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางมาจาก 8 ประเทศ ได้แก่ บอตสวานา , เอสวาตีนี, เลโซโท, โมซัมบิก, นามิเบีย, แอฟริกาใต้ และ ซิมบับเว ดังนี้
1) หากผู้โดยสารได้เดินทางมาถึงไทย ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 (00.01 น.) จนกระทั่งถึงวันที่30 พฤศจิกายน 2564 (23.59 น.) จะต้องเข้ากระบวนการกักตัว (Quarantine) 14 วันทันที ไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะได้รับการอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศมาในรูปแบบใด
2) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป ห้ามผู้โดยสารจาก 8 ประเทศเหล่านี้เข้าประเทศไทย แม้ว่าจะได้รับอนุญาตผ่านระบบ Thailand Pass แล้ว และการอนุญาตทั้งหมดจะสิ้นสภาพตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
สำหรับประเทศในทวีปแอฟริกาอื่น ๆ จะสามารถเดินทางเข้าไทยได้ตามการอนุญาตที่ได้รับจนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2564 และตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคมเป็นต้นไป หากเดินทางเข้ามาจะต้องเข้ากระบวนการกักตัว (Quarantine) 14 วัน ไม่ว่าจะได้รับการอนุญาตให้เข้าประเทศไทยมาในรูปแบบใดก็ตาม
สิ่งที่รู้เกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์โอไมครอน กลายพันธุ์ 30 จุด คาดติดง่ายกว่าเดิม หวั่นหลบภูมิคุ้มกัน
ในตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่า วัคซีนโควิด 19 ที่มีอยู่ จะสามารถต้านไวรัสโควิดสายพันธุ์โไมครอนได้ดีแค่ไหน รู้เพียงแค่ว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ถือเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ของหนามโปรตีนกว่า 30 จุด ซึ่งถือเป็นการกลายพันธุ์ครั้งใหญ่ ซึ่งหนามโปรตีนเหล่านี้ ถือเป็นเป้าหมายใหญ่ของแอนติบอดี้ในร่างกายมนุษย์ ที่ระบบภูมิคุ้มกันจะผลิตขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ
ดังนั้น การกลายพันธุ์ของหนามแหลมโปรตีนเหล่านี้ จึงทำให้เกิดความกังวลว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน จะสามารถหลบเลี่ยงแอนติบอดี้ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นแอนติบอดี้ที่ได้รับการกระตุ้นโดยวัคซีน หรือแอนติบอดี้ที่เกิดจากการติดเชื้อก่อนหน้านี้
ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน มีความเหมือนกับโควิดสายพันธุ์แลมบ์ดาและเบตา ซึ่งมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกาย นั่นจึงทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า โควิดสายพันธุ์โอไมครอน ไม่เพียงแต่จะทำให้คนติดเชื้อได้ไว ติดเชื้อได้มากกว่าเดิม แต่ยังจะพุ่งเข้าจู่โจมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และการป้องกันอื่น ๆ ที่เรามีในระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย
ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน มักพบในคนที่อายุน้อย โดยพบว่า ในคนอายุ 18-34 ปีในแอฟริกาใต้ มีเพียง 1 ใน 4 คนเท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีน และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนน้อยที่สุดอีกด้วย