คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติปรับกำหนดระยะห่างฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 เป็น 10-12 สัปดาห์ หากจำเป็นพิจารณาเพิ่มเป็น 16 สัปดาห์ได้ตามความเหมาะสม
ภาพจาก Mike Mareen / Shutterstock.com
จากกรณีที่มีการวิจารณ์ถึงการนัดฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะนัดให้คนที่ฉีดมารับเข็มที่ 2 ใน 12 สัปดาห์ แต่ต่อมา นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ให้นัดมารับเข็ม 2 ใน 16 สัปดาห์ เพื่อเป็นการปรับแผนกระจายวัคซีนโควิด 19 เพื่อเร่งฉีดโดสแรกให้แก่ประชาชนได้มากขึ้น และให้คนมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
อ่านเพิ่มเติม สธ. เผยแล้ว สาเหตุเลื่อนฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็ม 2 เพื่อภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น
อ่านเพิ่มเติม สธ. เผยแล้ว สาเหตุเลื่อนฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็ม 2 เพื่อภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น
ภาพจาก hfocus
วันที่ 14 มิถุนายน 2564 hfocus รายงานว่า เมื่อเวลา 15.50 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า วันนี้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้พิจารณา เห็นชอบแนวทางการฉีดวัคซีนโควิด ในการกำหนดระยะห่างของการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่ 1 และ 2 ให้ห่างกันเหลือ 10-12 สัปดาห์ และสามารถขยายได้ถึง 16 สัปดาห์ในกรณีที่จำเป็น พร้อมมอบหมายให้โรงพยาบาลเอกชน มีส่วนร่วมในการฉีดวัคซีน เพื่อให้สามารถฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนได้ตามเป้าหมาย โดยให้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
นอกจากนี้ยังพิจารณาเรื่องความก้าวหน้าการเสนอร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ ฉบับปรับปรุง และการออกระเบียบเปรียบเทียบความผิดกรณีไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรค จะมีการเปรียบเทียบปรับในอัตราใหม่ ดังนี้
ครั้งที่ 1 ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ครั้งที่ 2 ปรับมากกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
หากกระทำผิดครั้งที่ 3 เป็นต้นไป ปรับมากกว่า 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 20,000 บาท
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การขยายเวลาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็ม 2 ออกไปนั้น โดยหลักการระยะห่างยังเหมือนเดิมคือ 12 สัปดาห์ แต่หากมีเหตุการณ์จำเป็นอื่น ๆ เช่น การระบาด การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ ของโควิด ที่ประชุมจึงมอบให้กรมควบคุมโรค ปรึกษาคณะกรรมการวิชาการในการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID-19 ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก hfocus