นักวิทยาศาสตร์คิดค้นยากำจัดโควิด 19 สำเร็จในเฟส 1 ได้ผลดีกับหนูทดลอง กำจัดไวรัสในปอดได้ 99.9% ชี้สามารถสู้กับโคโรนาไวรัสได้ หลายสายพันธุ์

ภาพจาก Griffith university
วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 เว็บไซต์บริสเบนไทม์ รายงานข่าวดีกับความหวังในการต่อสู้ โควิด 19 เมื่อนักวิทยาศาสตร์คิดค้นยารักษาโควิด 19 ทุกสายพันธุ์ สำเร็จในเฟส 1 พบว่าได้ผลดีกับหนูทดลอง สามารถลดปริมาณไวรัสในปอดได้ถึงร้อยละ 99.9 เลยทีเดียว
การทดสอบนี้เป็นความร่วมมือกันของ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสุขภาพเมนซีส์แห่งรัฐควีนส์แลนด์ (MHIQ) ประจำมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ ออสเตรเลีย และสถาบันวิจัย ซิตี้ ออฟ โฮป ในสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนากระบวนการบำบัดที่อาศัยหลักการทางด้านสารพันธุกรรมชนิด RNA ซึ่งมีเป้าหมายทำลายเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ด้วยการค้นหาและทำลายสารพันธุกรรมดังกล่าวของไวรัส ส่งผลให้ไวรัสสูญเสียความสามารถในการเพิ่มจำนวน
การทดสอบนี้เป็นความร่วมมือกันของ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสุขภาพเมนซีส์แห่งรัฐควีนส์แลนด์ (MHIQ) ประจำมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ ออสเตรเลีย และสถาบันวิจัย ซิตี้ ออฟ โฮป ในสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนากระบวนการบำบัดที่อาศัยหลักการทางด้านสารพันธุกรรมชนิด RNA ซึ่งมีเป้าหมายทำลายเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ด้วยการค้นหาและทำลายสารพันธุกรรมดังกล่าวของไวรัส ส่งผลให้ไวรัสสูญเสียความสามารถในการเพิ่มจำนวน
หากจะให้นึกภาพการทำงานของยาชนิดนี้ ให้นึกถึงจรวดนำวิถีซึ่งมีเป้าหมายพุ่งเข้าทำลายเป้าหมาย กรณีนี้คือทำลายสารพันธุกรรมของไวรัส แต่จะไม่ออกฤทธิ์ใด ๆ กับเซลล์อื่น ถ้าหาเป้าหมายไม่เจอ ยาก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรร่างกายของมนุษย์

ภาพจาก Griffith University
ข้อแตกต่างของวัคซีนโควิด กับยาตัวนี้ วัคซีนจะทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อลดความรุนแรงของโรค ส่วนยาต้านไวรัส (antivirals) ทำหน้าที่ต่อต้านและใช้รักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้ว ซึ่งนักวิจัยมองว่า แม้วัคซีนจะเป็นหนึ่งในหนทางการยุติโรคระบาด แต่ยาต้านไวรัสก็เป็นอีกหนึ่งในกุญแจสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน
กระบวนการรักษานี้สามารถใช้ได้ผลกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ SARS-CoV-1 ที่ก่อโรคซาร์ส และ SARS-CoV-2 ที่ก่อโรคโควิด 19 รวมถึงชนิดใหม่ ๆ ที่อาจเกิดมาจากการกลายพันธุ์ในอนาคตได้ เนื่องจากเป้าหมายหลักของยาเป็นพื้นที่ยีนถาวรในจีโนมของไวรัส

ภาพจาก Griffith University

ภาพจาก Griffith University

ภาพจาก Griffith University

ภาพจาก Griffith University
>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID 19 << ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก บริสเบนไทม์, Griffith university