แพทย์จาก 3 สถาบัน เผยโรคโควิด 19 น่ากลัวมากกว่าวัคซีน ยืนยันไม่มีคนตายหลังฉีด พร้อมเผยฉีดวัคซีน 2 เข็ม ต่างยี่ห้อได้หรือไม่ ?

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 RAMA Channel เผยแพร่รายการ การจัดเสวนาหัวข้อ "ผ่าวัคซีน COVID-19 ฟังชัด ๆ กับ ทีมแพทย์ 3 สถาบัน" จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภาพจาก RAMA Channel
หมอจากคณะแพทย์ศิริราช เผยผลข้างเคียงวัคซีน ถ้าฉีดแล้วชาเดี๋ยวก็หาย ไม่เกิน 1 อาทิตย์
โดย ศ. พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยขณะนี้ ว่า ปัจจุบันคนไทยมีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 1.7 แสนคน และยังไม่มีใครเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน แต่ทุกวันมีคนเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ประมาณ 1-2 คน ใน 100 คน ดังนั้นจึงควรกลัวโรคมากกว่ากลัววัคซีน
สำหรับเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน
คนที่เป็นแผลจะพบประมาณ 1 ใน 100,000 คน
สำหรับเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน
คนที่เป็นแผลจะพบประมาณ 1 ใน 100,000 คน
คนที่มีอาการไข้ ปวดเมื่อย บวม หรือแดง จะพบประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์
หากพบว่าฉีดวัคซีนแล้วมีไข้ขึ้นสูง โดยเฉพาะในคนหนุ่มสาว จะแสดงถึงปฏิกิริยาของร่างกายต่อวัคซีน ยิ่งไข้สูง ภูมิคุ้มกันก็จะสูงขึ้นตามด้วย แต่จะมีอาการประมาณ 1-2 วัน ก็จะกลับมาปกติ ในผู้สูงอายุ อย่างคุณพ่ออายุ 92 ปี หลังจากฉีดแล้วพบว่าไม่มีไข้ และใช้ชีวิตปกติ ต่างจากพี่สาวอายุ 60 ปี มีอาการไข้ ต้องนอนพักถึง 2 วัน จึงหายเป็นปกติ
สำหรับที่มีอาการชาข้างใดข้างหนึ่งก็เป็นปฏิกิริยาที่บ่งบอกถึงร่างกายอาจจะยังไม่พร้อม มีอาการอ่อนเพลีย หรืออาการกลัว ก็จะใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน หรือถึง 1 สัปดาห์ ถึงจะหายเป็นปกติ
ดังนั้นไม่ต้องตกใจ เพราะทุกอย่างปลอดภัย ไม่มีใครเสียชีวิต พิการ หรืออันตรายเรื้อรังถาวร
ยกตัวอย่างประเทศสกอตแลนด์ ที่มีการตีพิมพ์ผลงานของการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และแอสตร้าเซนเนก้า โดยลักษณะการปูพรมฉีดเข็มเดียวให้กับประชากร และมีการวัดประสิทธิผลออกมาดีเท่ากัน 90 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ ซึ่งเป็นโมเดลที่ควรจะนำมาใช้กับประเทศไทย จึงอยากขอให้ทุกคนอย่ากลัวการฉีดวัคซีน การฉีดก่อนเท่ากับป้องกันก่อน ทำให้โควิด 19 จากโรคร้ายกลายเป็นโรคหวัดธรรมดาด้วยวัคซีน
ดังนั้นไม่ต้องตกใจ เพราะทุกอย่างปลอดภัย ไม่มีใครเสียชีวิต พิการ หรืออันตรายเรื้อรังถาวร
ยกตัวอย่างประเทศสกอตแลนด์ ที่มีการตีพิมพ์ผลงานของการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และแอสตร้าเซนเนก้า โดยลักษณะการปูพรมฉีดเข็มเดียวให้กับประชากร และมีการวัดประสิทธิผลออกมาดีเท่ากัน 90 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ ซึ่งเป็นโมเดลที่ควรจะนำมาใช้กับประเทศไทย จึงอยากขอให้ทุกคนอย่ากลัวการฉีดวัคซีน การฉีดก่อนเท่ากับป้องกันก่อน ทำให้โควิด 19 จากโรคร้ายกลายเป็นโรคหวัดธรรมดาด้วยวัคซีน

ภาพจาก RAMA Channel
หมอรามาฯ เผย ฉีดกับไม่ฉีด แตกต่างกันอย่างมาก ฉีดปุ๊บโอกาสติดโควิดลดทันที
ด้าน ผศ. นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ความแตกต่างระหว่างฉีดวัคซีนกับไม่ฉีดวัคซีน มีความแตกต่างอย่างมาก เพราะเมื่อฉีดแล้วจะทำให้โอกาสที่จะติดโควิด-19 ลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ทันที ยิ่งฉีดครบก็จะมีภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น
ผลการเปรียบเทียบระหว่างวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวค พบว่ามีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ การทดลองในแต่ละชนิดไม่ได้ทำในสถานที่เดียวกัน จะมีการเปรียบเทียบตรง ๆ ไม่ได้ แต่ก็เห็นประสิทธิภาพของวัคซีน โดยเทียบการป้องกันโควิด 19 ในประชากรที่ฉีดวัคซีน 1,000 คน จะป้องกันได้ 10-20 คน

ภาพจาก RAMA Channel
หมอจุฬาฯ เผย วัคซีนซิโนแวคฉีดได้กับคนทุกวัย อาการข้างเคียงน้อย
ขณะที่ ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า วิกฤตโควิด 19 สามารถแก้ปัญหาหรือยุติได้ด้วยวัคซีนอย่างเดียว จะเห็นได้จากที่ทั่วโลกไขว่คว้าหาวัคซีนกัน
สำหรับผลการศึกษาพบว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เกิดขึ้นในคนอายุน้อยกว่าผู้สูงอายุ ส่วนซิโนแวคสามารถฉีดได้สำหรับคนทุกวัย และมีอาการข้างเคียงน้อย
ทั้งนี้ คนที่หายป่วยจากโควิด 19 แล้วก็ยังคงต้องฉีดวัคซีนโควิด 19 อีก เพราะเมื่อเป็นแล้วหายเปรียบเสมือนกับได้ฉีด 1 เข็ม หากได้รับวัคซีนเพิ่มอีก 1 เข็ม หลังจากนั้นช่วง 3-6 เดือน ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น แต่ในกรณีที่ติดเชื้อแล้วหายกว่า 1 ปี แนะนำให้ฉีดใหม่ครบ 2 เข็ม
นพ.ยง กล่าวต่อว่า อย่างประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่มีประชากรประมาณ 65 ล้านคน พอ ๆ กับไทย โดยอังกฤษมีการใช้วัคซีนไฟเซอร์ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นแอสตร้าเซนเนก้า ประชากรได้ฉีดเข็มแรกครอบคลุมกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นศูนย์
ในขณะที่ฝรั่งเศสมีการชะลอการฉีดวัคซีน เพราะกังวลเรื่องผลข้างเคียงการเกิดภาวะลิ่มเลือด ทำให้ประชากรได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกแค่ 34 เปอร์เซ็นต์ และส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้ออยู่ถึง 1-2 หมื่นคนต่อวัน และเสียชีวิตอีก 200-300 คนต่อวัน ดังนั้นไทยจึงต้องรีบฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดและไวที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ใหม่ของเชื้อ

ภาพจาก RAMA Channel
หมอรามาฯ ชี้ ฉีดวัคซีนโควิด ไม่ได้เกิดลิ่มเลือดได้ง่ายขนาดนั้น คาดเป็นเพราะพันธุกรรมคนเอเชีย
ศ. นพ.พันธุ์เทพ อังชัยสุขศิริ สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความกังวลการเกิดภาวะลิ่มเลือดเมื่อฉีดวัคซีน ยืนยันว่าวัคซีนโควิด 19 ไม่ได้เพิ่มอุบัติการณ์การเกิดลิ่มเลือดอุดตันทั่วไป โดยเฉพาะในประชากรไทยจะมีการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำต่ำกว่าประชากรตะวันตกประมาณ 10 เท่า อาจจะด้วยปัจจัยทางพันธุกรรม และจากข่าวที่เผยแพร่จากในฝั่งยุโรป ว่ามีการเกิดลิ่มเลือดอุดตันชนิดพิเศษ คือ นอกจากมีลิ่มเลือดอุดตันยังมีเกล็ดเลือดต่ำด้วย ซึ่งจะเจอน้อยมากในประชากร 1 ในแสนคน ถึง 1 ในล้านคน
จึงไม่ต้องตกใจ เพราะอาการดังกล่าวอาจจะเกิดเพราะการตอบสนองของภูมิต้านทานในร่างกายบังคับ ถ้ารุนแรงเกินไปก็จะไปกระตุ้นเกล็ดเลือดทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันขึ้นมา สามารถรักษาได้ แต่โอกาสที่จะเกิดลิ่มเลือดอุดตันมีมากในคนไทยหากติดโควิด 19 ซึ่งคนไข้ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ที่มีอาการปอดอักเสบเรื้อรังอยู่ในไอซียู ประมาณร้อยละ 20 คนไข้จะมีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ดังนั้นหากกลัวเกิดลิ่มเลือดอุดตันอยากจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ดีกว่า เพราะจากที่มีการฉีดวัคซีนในคนไทย ยังไม่มีใครเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันชนิดพิเศษ

ภาพจาก RAMA Channel
หมอจุฬาฯ ชี้ แนะผู้ใหญ่ฉีดวัคซีนให้ได้ถึง 70% ป้องกันเอาเชื้อไปติดลูกหลานที่บ้าน
รศ. พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ รองหัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันการติดเชื้อในเด็กมีมากขึ้น อย่างตอนนี้มีประมาณ 100 ราย รักษาตัวอยู่ที่ รพ.จุฬาฯ จึงอยากแนะนำให้ผู้ใหญ่เร่งฉีดวัคซีนให้ไปถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ในระหว่างที่เด็กกำลังรอการฉีดวัคซีน เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อไปสู่เด็กได้
อย่างไรก็ตาม ศ. พญ.กุลกัญญา กล่าวทิ้งท้ายว่า กรณีที่จะฉีดวัคซีนเข็มแรกยี่ห้อหนึ่ง แล้วเข็มที่สองอีกยี่ห้อ ยังไม่มีผลการศึกษาหรือข้อมูลอย่างชัดเจน ดังนั้นตอนนี้แนะนำให้ใช้ยี่ห้อเดียวกันทั้ง 2 เข็ม แต่ถ้ามีความจำเป็นบางอย่าง เช่น มีอาการแพ้ยี่ห้อหนึ่งในเข็มแรก เข็มที่สองก็สามารถเปลี่ยนได้ เพราะเท่าที่มีการศึกษาการใช้วัคซีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การเปลี่ยนยี่ห้อไม่ได้ทำให้เกิดผลเสีย เพียงแต่บอกไม่ได้ชัดเจนว่าภูมิคุ้มกันจะเสริมได้ดีขึ้นแค่ไหน แต่ส่วนใหญ่มีปัญหา

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID-19 << ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก RAMA Channel, ไทยโพสต์