ภรรยาเล่าฝันร้าย สามีติดโควิด 19 แถมโดนปล่อยข่าวปลอมซ้ำเติม ช้ำแล้วช้ำหนักกว่าเดิม

        ภรรยาเล่าประสบการณ์ฝันร้าย ในวันที่สามีติดโควิด 19 กว่าจะได้ตรวจและรู้ผลนานกว่า 2 สัปดาห์ แถมยังโดยปล่อยข่าวปลอมจากชาวบ้าน ซ้ำเติมกันหนักกว่าเดิม


         เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้เผยประสบการณ์ฝันร้าย ในวันที่สามีป่วยโควิด 19 แต่กว่าที่จะได้ตรวจจนทราบผลนั้น ปอดก็เริ่มเสียหายไปแล้ว แถมโรงพยาบาลก็ยังปฏิเสธไม่รับตัวคนไข้ ครอบครัวต้องกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด สถานการณ์ย่ำแย่ แต่มิหนำซ้ำยังถูกปล่อยข่าวปลอม มาด่าทอซ้ำเติมกันให้รู้สึกแย่หนักไปกว่าเดิม

         เริ่มจากวันที่ 10 มีนาคม 2563 เธอเล่าว่า สามีเริ่มมีไข้หนาวสั่น เมื่อประมาณ 18.00 น. จึงกินยาพาราไป ไข้ก็ลดและเหงื่อก็ออก แต่ยังสามารถกินข้าวได้ปกติ สามีทนกับอาการไข้แบบนี้อยู่ 2 วัน จนวัน 12 มีนาคม ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในศรีราชา (โรงพยาบาลที่ 1) หมอแจ้งว่า อาการยังไม่ชัดเจน เนื่องจากเพิ่งมีไข้ได้ 2 วัน ถ้าตรวจเชื้อไวรัสก็อาจจะยังไม่แสดงผล เชื้อไวรัสที่หมอพูดหมายถึงเชื้อไวรัสตัวอื่น ยกเว้น โควิด 19 หมอบอกว่า ไม่ได้ไปในประเทศที่เสี่ยง จึงไม่น่าจะใช่ไวรัสโควิด 19 ให้คลายกังวล จึงนัดให้ไปตรวจอีกที สามีจึงกลับบ้านมารักษาตัวด้วยยาพาราที่หมอให้มา


         ช่วงตั้งแต่วันที่ 12-15 มีนาคม อาการของสามีเริ่มแย่ลงคือ เริ่มกินได้น้อย ไม่มีแรง ปวดข้อเท้า หายใจแล้วรู้สึกเหนื่อยง่าย ไข้ยังไม่ลดเหมือนเดิม โดยวันที่ 13 มีนาคม เธอและสามีไปทำงานที่เกาะสีชัง เกี่ยวกับเรื่องเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ตอนขึ้นเรือที่เกาะสีชัง มีการคัดกรองวัดอุณหภูมิสามี ก็ปรากฏว่าผลแสดงว่าไม่มีไข้ 36.3 และให้เจลมาล้างมือ กลับมาถึงบ้านสามีก็นอนซม พอวันที่ 15 ไปหาหมอตามนัด สามีขอหมอแอดมิตทันที เพราะทราบอาการตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว เมื่อเข้าไปโรงพยาบาลก็เอกซเรย์ปอด เจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจ หมอก็ยืนยันว่ายังไม่ต้องตรวจเชื้อไวรัสโควิด 19 เนื่องจากอาการไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

         สามีนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ 4 วัน โดยยาหลักที่ได้รับคือพาราและยาฆ่าเชื้อ ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อไวรัสหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ก็ไม่แน่ใจ เพราะหมอบอกอยู่ตลอดว่าปอดปกติดี เลือดที่นำไปตรวจไวรัสไข้เลือดออก ไวรัสชิกุนปุนย่า และไวรัสอื่น ๆ อีก 20 สายพันธุ์ ก็ไม่พบเชื้อ หมอตรวจทุกอย่างยกเว้น โควิด 19 โดยหมอว่าไม่ต้องตรวจโควิด 19 เพราะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงตามนโยบายรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องตรวจ จึงเชื่อตามที่หมอบอก ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลเธอและลูกสลับการเฝ้าไข้ อาการสามีขณะอยู่โรงพยาบาล คือ เหนื่อยง่าย กินได้น้อย ไม่มีแรง ปวดตามข้อ ผื่นที่คอเนื่องจากเหงื่อออกเยอะและคัน


        วันที่ 18 มีนาคม หมอให้กลับบ้านเนื่องจากไม่มีไข้และไม่ปวดข้อแล้ว หมอแจ้งว่าน่าจะเป็นไวรัสทั่วไปไม่ได้รุนแรงมาก เธอถามย้ำหมอว่าไม่ใช่ไวรัสโควิด 19 ใช่ไหม หมอก็ยืนยันว่าไม่ใช่ จึงให้กลับมากินยาต่อที่บ้าน พอวันที่ 19 สามีเริ่มมีอาการไอแห้ง ๆ ไม่ได้รุนแรง ไม่มีอาการเจ็บคอ พอวัยที่ 20 เริ่มมีอาการไอและมีเสมหะปนเลือด จึงตัดสินใจเข้าไปตรวจที่กรุงเทพฯ ไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (โรงพยาบาลที่ 2) เล่าอาการให้หมอฟัง หมอขอเอกซเรย์ปอดผลคือ ปอดมีฝ้าเยอะมาก อาการที่เรียกว่า ปอดติดเชื้อ หรือปอดอักเสบ หมอขอให้ตรวจไวรัสโควิด 19 และขอให้แอดมิตทันที ผลการตรวจจะออกอีก 3 วัน

        ระหว่างแอดมิต คุณหมอให้ยาฆ่าเชื้อ อาการเริ่มดีขึ้น สีหน้าดูดีขึ้น แต่ยังกินได้น้อย ไอปนเลือดอยู่ สามีนอนอยู่ที่นี่ 5 วัน มีการเอกซเรย์ปอดทุก 2 วัน 2 วันแรกผลยังมีฝ้าขาว จึงต้องนอนต่ออีก 2 คืน จนเช้าวันที่ 24 เอกซเรย์ปอดอีกครั้ง ปอดก็ยังมีฝ้าขาว แต่หมอบอกให้กลับบ้านเอายามากินต่อ และนัดตรวจอีก 1 สัปดาห์ ตอนนั้นผลโควิด 19 ก็ยังไม่ออก แต่หมอบอกให้กลับมาก่อนแล้วจะโทร. แจ้งผล ในวันเดียวกันหมอโทร. มาแจ้งว่าสามีเป็นโควิด 19 โทร. กลับไปขอเข้ารักษา และโรงพยาบาลแจ้งว่าห้องเต็ม


        วันที่ 25 มีนาคม สามีพยายามติดต่อหาโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง กระทั่งได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลชลบุรี มีหลายหน่วยงานโทร. มาสอบถามข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับไทม์ไลน์ว่า ช่วงที่เริ่มมีอาการไปไหนมาบ้าง ในขณะที่เธอได้พาครอบครัวไปตรวจโควิด 19 ที่โรงพยาบาลอีกแห่ง และวันที่ 26 มีนาคม ผลตรวจของเธอ ลูก และแม่สามี ออกมาเป็นลบทั้งหมด

        ในขณะที่เธอและครอบครัวต้องวิ่งวุ่น สามีต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพราะติดเชื้อไวรัสโคโรน่า แต่กลับถูก Cyber Bully ปล่อยข่าวปลอม ตำหนิต่อว่าต่าง ๆ หาว่าครอบครัวเธอปิดข่าวบ้าง หาว่าติดเชื้อทั้งครอบครัวบ้าง รวมทั้งด่าท่อ สาปแช่ง ซ้ำเติมสารพัด บอกว่าคนติดเชื้อคือคนเลว เวรกรรมตามทันคนที่ติดเชื้อ ทำให้เธอและครอบครัวยิ่งรู้สึกแย่ไปกว่าเดิมในช่วงเวลาที่ลำบากเช่นนี้

        ในตอนนี้ สามีของเธอได้ย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลชลบุรี และอาการดีขึ้นตามลำดับ ใกล้หายแล้ว นับเป็นข่าวดีที่ทั้งครอบครัวรอคอยมาอย่างยาวนาน