งานวิจัยจีนชี้ คนเลือดกรุ๊ปเอ เสี่ยงในการติด COVID-19 มากกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น ?

          งานวิจัยจากจีน ชี้ คนเลือดกรุ๊ปเอ อาจมีความเสี่ยงในการติด COVID-19 มากกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น ๆ หลังวิเคราะห์จากกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน ใน 2 เมือง

          วันที่ 17 มีนาคม 2563 เว็บไซต์เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ มีรายงานอ้างอิงงานศึกษาวิจัยในประเทศจีน ซึ่งระบุว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ อาจมีความเสี่ยงในการติดโคโรนาไวรัส มากกว่าคนในกรุ๊ปเลือดอื่น ๆ ขณะที่คนเลือดกรุ๊ปโอ ดูจะมีแนวโน้มในการต้านทานต่อโรคมากกว่า

          งานวิจัยดังกล่าว ซึ่งได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Medrxiv.org เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา เกิดจากการที่นักวิจัยลองนำรูปแบบกรุ๊ปเลือดจากผู้ติดโรค COVID-19  จำนวนกว่า 2,000 คน ในนครอู่ฮั่นและเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน มาเปรียบเทียบกับประชาชนในท้องถิ่นที่มีสุขภาพดี จนพบว่าผู้ป่วยที่เลือดกรุ๊ปเอ มีอัตราการติดโรคสูงกว่าและมีแนวโน้มจะพัฒนาอาการรุนแรงมากกว่า

          โดย หวัง ซิงหวน นักวิจัยจาก Centre for Evidence-Based and Translational Medicine ที่โรงพยาบาลจงหนาน ของมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ซึ่งเป็นผู้เขียนงานวิจัยดังกล่าว ระบุว่า งานวิจัยนี้ยังเป็นการศึกษาขั้นต้นจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อในจีน และยังต้องมีการศึกษาค้นคว้ามากกว่านี้ อย่างไรก็ตามเขาแนะว่าทางรัฐบาลและหน่วยงานการแพทย์ของจีน ควรนำเรื่องกรุ๊ปเลือดที่แตกต่างมาพิจารณาตอนวางมาตรการบรรเทาหรือรักษาผู้ติดโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ หรือ Sars-CoV-2 ด้วย

          "คนเลือดกรุ๊ปเอ อาจต้องการการป้องกันตัวที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ และผู้ติดเชื้อ Sars-CoV-2 ที่มีเลือดกรุ๊ปเอ อาจจำเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังและรักษาที่เข้มข้นมากกว่าเดิม" หวัง ซิงหวน ระบุ

          อย่างไรก็ตาม หวัง ซิงหวน ชี้ว่าในทางกลับกัน คนที่เลือดกรุ๊ปโอมีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเที่ยบกับกรุ๊ปเลือดอื่น ๆ

          ทั้งนี้ ในอู่ฮั่นพบว่ามีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจาก COVID-19 จำนวน 206 คน โดยในจำนวนนี้มี 86 คนที่เลือดกรุ๊ปเอ ส่วนผู้เสียชีวิตที่เลือดกรุ๊ปโอ มีเพียง 52 ราย ซึ่ง หวัง ซิงหวน มองว่าการนำกรุ๊ปเลือดมาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับไวรัส Sars-CoV-2 และโคโรนาไวรัส สายพันธุ์อื่น ๆ อาจเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อช่วยกำหนดการจัดการทางเลือกและการประเมินระดับความเสี่ยงของบุคคลนั้น ๆ

          สำหรับงานวิจัยดังกล่าว ได้รับการดำเนินงานโดยนักวิทยาศาสตร์และกลุ่มแพทย์จากเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน รวมถึง ปักกิ่ง อู่ฮั่น เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น แต่งานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ

          ขณะที่ผู้เขียนงานวิจัยอย่าง หวัง ซิงหวน ก็ยังเตือนว่ายังอาจมีความเสี่ยง หากจะนำงานวิจัยชิ้นนี้ไปเป็นแนวทางปฏิบัติทางคลินิกในตอนนี้เลย

          ทางด้าน เกา อิงไต้ นักวิจัยจากเทียนจิน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานวิจัยข้างต้น แนะนำว่า อาจยกระดับงานวิจัยได้ด้วยการใช้กลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น เพราะแม้กลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน จะไม่ใช่กลุ่มที่เล็กนัก แต่มันก็ยังดูน้อยไปเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติด COVID-19 ทั่วโลกกว่า 180,000 คน

          นอกจากนี้ เกา อิงไต้ ยังชี้ว่า งานวิจัยข้างต้นยังมีข้อจำกัด จากการไม่สามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น อันตรกิริยาระหว่างโมเลกุลระหว่างไวรัสกับเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แตกต่างกันของแต่ละกรุ๊ปเลือด