อาการโควิด 19 มีอะไรบ้าง เช็กอาการติดเชื้อโคโรนาไวรัส สัญญาณไหนบอกชัดเลยว่าป่วยแน่ ๆ พร้อมวิธีรักษาโรค COVID-19 ให้หาย ต้องทำยังไงบ้าง
ช่วงนี้ใครป่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เริ่มไม่สบายใจ กลัวว่าจะใช่อาการของโรค COVID-19 ไหม ยิ่งพบเจอคนที่มีอาการไอ หรือจาม ก็ยิ่งพารานอยด์ไปใหญ่ว่าเขาจะแพร่เชื้อโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังระบาดอยู่หรือเปล่า อย่างนี้ต้องเช็กหน่อยแล้วล่ะว่าอาการป่วยแบบไหนจะเข้าข่าย COVID-19 แล้วถ้าติดเชื้อจริง ๆ ขึ้นมา จะรักษาด้วยวิธีไหน
อาการโควิด 19 มีอะไรบ้าง
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่า อาการแสดงหลัก ๆ ของร่างกายเมื่อป่วยเป็นโควิด สามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้
อาการโควิดที่พบได้บ่อย
2. มีอาการทางเดินหายใจข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งบางคนอาจจะมีเพียงอาการเดียว หรือมากกว่านั้น คือ
- เจ็บคอ
- ไอ
- มีน้ำมูก
- หายใจเร็ว หายใจลำบาก หอบเหนื่อย
- มีอาการปอดอักเสบ
- จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส
อาการอื่น ๆ ที่พบได้บ้าง
นอกจากมีอาการทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ในผู้ป่วยหลายรายยังมีรายงานพบอาการเหล่านี้ด้วย แต่เป็นเพียงอาการร่วม ไม่ใช่อาการแสดงหลักของโรค เช่น
- ปวดเมื่อย ปวดกล้ามเนื้อ
- อ่อนเพลีย
- ปวดหัว
- ท้องเสีย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ตาแดง หรือเคืองตา
- มีผื่นขึ้น
- ท้องเสีย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ตาแดง หรือเคืองตา
- มีผื่นขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับการระบาดในปี 2564 พบโควิด 19 ระบาดในหลายสายพันธุ์มากขึ้น ซึ่งอาจมีอาการแตกต่างกันไปบ้าง ดังนี้
อาการโควิดสายพันธุ์อัลฟา (สายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7)
อาจพบอาการต่อไปนี้
- ในช่วง 14 วันแรกจะมีอาการเป็นไข้
- หนาวสั่น
- ไอ หายใจถี่หายใจลำบาก
- ปวดศีรษะ
- สูญเสียการได้กลิ่น
- เจ็บคอ
- มีน้ำมูก
- อ่อนเพลีย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- อาเจียน หรือท้องเสีย
- มีผื่นขึ้นที่เท้าหรือนิ้วเท้า ลักษณะคล้ายตาข่ายหรือเส้นใยเล็ก ๆ หรือมีจุดเลือดออก หรือมีผื่นบวมแดงคล้ายโรคลมพิษ หรือบางรายอาจมีลักษณะกลุ่มของตุ่มน้ำคล้ายโรคอีสุกอีใส
- บางรายอาจมีอาการตาแดง แต่พบได้น้อยเพียง 1-3% โดยมีอาการเยื่อบุตาอักเสบหรือบวม น้ำตาไหล ระคายเคืองตา คัน มีขี้ตา ตาสู้แสงไม่ได้
อาการโควิดสายพันธุ์เดลตา (สายพันธุ์อินเดีย B.1.617)
- เจ็บคอ
- มีน้ำมูก
- มักจะไม่ค่อยสูญเสียการรับรส
- มีอาการทั่วไปคล้ายหวัดธรรมดา
ดังนั้นหากรู้สึกไม่สบาย คล้ายเป็นหวัด ควรสังเกตตัวเอง หากมีอาการน่าสงสัยให้รีบไปพบแพทย์
อาการโควิดสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้)
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- เจ็บคอ
- ท้องเสีย
- ปวดศีรษะ
- ตาแดง
- การรับรสหรือการได้รับกลิ่นผิดปกติ
- มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง หรือนิ้วมือ นิ้วเท้าเปลี่ยนสี
อาการโควิดสายพันธุ์โอมิครอน (B.1.1.529)
ทีมศึกษาวิจัยจากอังกฤษพบว่าผู้ป่วยสายพันธุ์โอมิครอนจะมีอยู่ 8 อาการที่เป็นสัญญาณว่าติดเชื้อโอมิครอน คือ
- เจ็บคอ (อาจมีไอแห้ง)
- น้ำมูกไหล
- จาม
- อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
- เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน และอาจทำให้เสื้อผ้าชุ่มด้วยเหงื่อจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้ว่าจะนอนในห้องแอร์ก็ตาม
- ปวดหลังส่วนล่าง
- เจ็บคอ (อาจมีไอแห้ง)
- น้ำมูกไหล
- จาม
- อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
- เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน และอาจทำให้เสื้อผ้าชุ่มด้วยเหงื่อจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้ว่าจะนอนในห้องแอร์ก็ตาม
- ปวดหลังส่วนล่าง
ทั้งนี้ อาการเหล่านี้ยังมีความคล้ายกับโรคภูมิแพ้ ไข้หวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ ใครที่สงสัยว่าเราป่วยอะไรกันแน่ ลองเปรียบเทียบความแตกต่างกันดู
ทั้งนี้ สำหรับโควิดสายพันธุ์อังกฤษที่ระบาดในระลอกใหม่ พบผู้ป่วยมีภาวะปอดอักเสบมากขึ้น แม้แต่หนุ่มสาวบางคนที่ไม่มีอาการป่วยใด ๆ เลย แต่เมื่อเอกซเรย์ปอดกลับเจอฝ้าที่แสดงถึงภาวะปอดอักเสบ ทำให้รักษาได้ล่าช้าและอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้น ลองมาเช็กอาการเบื้องต้นกันว่า หากเชื้อโควิดลงปอดจะมีอาการแสดงอย่างไรบ้าง แล้วจะเป็นอันตรายแค่ไหน รักษาได้ไหม
โควิด 19 รักษาอย่างไร
แนวทางดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ตามคำแนะนำของกรมการแพทย์ ฉบับปรับปรุง วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 แพทย์จะคัดแยกผู้ป่วยตามอาการ และให้การรักษา ดังนี้
1. กลุ่มผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ
- แนะนำให้แยกกักตัวที่บ้านหรือในสถานที่ที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 10 วัน นับจากวันที่ตรวจพบเชื้อ ระยะเวลาการกักตัว (ในสถานพยาบาลรวมกับที่บ้าน) อาจนานกว่านี้ในผู้ป่วยบางราย ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ (สําหรับจังหวัดที่มีปัญหาการบริหารเตียง อาจใหอยู่โรงพยาบาล 5-7 วัน และกลับไปกักตัวต่อที่บ้านจนครบ 10 วัน)
- ให้ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เองและอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา
- พิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรในกลุ่มที่ไม่มีอาการ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ แต่ไม่ให้ฟ้าทะลายโจร ร่วมกับยาต้านไวรัส เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากยา
- ให้ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เองและอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา
- พิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรในกลุ่มที่ไม่มีอาการ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ แต่ไม่ให้ฟ้าทะลายโจร ร่วมกับยาต้านไวรัส เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากยา
2. กลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง
- พิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เริ่มให้ยาเร็วที่สุด
- หากตรวจพบเชื้อมาเกิน 7 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย อาจไม่จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้น่าจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- แนะนำให้แยกกักตัวที่บ้านหรือในสถานที่ที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 10 วัน นับจากวันที่มีอาการ หากเข้าเกณฑ์ที่จะรับการรักษาแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation ก็สามารถให้การรักษาในลักษณะดังกล่าวได้ โดยให้ปฏิบัติตามหลักการแยกโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน (รวมทุกระบบการรักษา) นับจากวันที่เริ่มมีอาการหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้นอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
3. กลุ่มผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีปอดบวมเล็กน้อย (หายใจเหนื่อย)
โดยปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
- อายุมากกว่า 60 ปี
- เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมทั้งโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคหัวใจแต่กำเนิด
- โรคหลอดเลือดสมอง
- เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก.)
- ตับแข็ง
- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ น้อยกว่า 1,000 เซลล์/ลบ.มม.
หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น
- เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมทั้งโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคหัวใจแต่กำเนิด
- โรคหลอดเลือดสมอง
- เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก.)
- ตับแข็ง
- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ น้อยกว่า 1,000 เซลล์/ลบ.มม.
หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องนอนโรงพยาบาล โดยอยู่ในระบบการรักษาและการแยกโรคอย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น (อาจอยู่โรงพยาบาลน้อยกว่า 14 วัน แล้วกลับไปกักตัวต่อที่บ้านจนครบ 14 วัน)
ทั้งนี้ แนะนำให้ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์โดยเร็วที่สุด เป็นเวลา 5 วัน หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับอาการทางคลินิกตามความเหมาะสม นอกจากนี้อาจให้ยาลดการอักเสบคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์ในกรณีผู้ป่วยมีอาการและภาพถ่ายรังสีปอดแย่ลง โดยค่าออกซิเจนในเลือดน้อยกว่า 96%
4. ผู้ติดเชื้อที่มีปอดบวม หรือมีภาวะลดลงของออกซิเจนขณะออกแรงลดลงมากกว่า 3% ของค่าที่วัดได้ครั้งแรก
- ต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อย 14 วัน หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น และได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับอาการทางคลินิก
- หากไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาจพิจารณาเปลี่ยนเป็นเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) และอาจให้ยาลดการอักเสบคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids)
อย่างไรก็ตาม กรณีเป็นหญิงตั้งครรภ์ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) แทนฟาวิพิราเวียร์
อย่างไรก็ตาม กรณีเป็นหญิงตั้งครรภ์ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) แทนฟาวิพิราเวียร์
ฟ้าทะลายโจร รักษาโควิด 19 ได้ไหม
จากแนวทางเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ ฉบับปรับปรุง วันที่ 25 มิถุนายน 2564 ได้ระบุกรณีการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาโควิด 19 ไว้ว่า ยาฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ anti-SARS-CoV-2, anti-inflammatory และลดอาการไข้ หวัด เจ็บคอ สามารถพิจารณาใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยที่มีอาการน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโควิด 19 ที่รุนแรง และไม่มีข้อห้ามต่อการใช้ฟ้าทะลายโจร ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าอาจช่วยลดโอกาสการดำเนินโรคไปเป็นปอดอักเสบได้ ขณะนี้กำลังมีการศึกษาเพิ่มเติม
สำหรับขนาดยาที่เหมาะสมในผู้ใหญ่คือ
- ใช้ยาฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูลหรือยาเม็ดที่มีสารฟ้าทะลายโจรชนิดสารสกัด หรือผงบด ซึ่งระบุปริมาณของสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็นมิลลิกรัมต่อแคปซูล หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาณยา
- คำนวณให้ได้สารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัม/คน/วัน แบ่งให้ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร กินติดต่อกัน 5 วัน (ถ้าจำนวนแคปซูลต่อครั้งมาก อาจแบ่งให้ 4 ครั้ง/วัน)
- เริ่มยาเร็วที่สุดหลังการติดเชื้อ SARS-CoV-2
เกณฑ์ในการพิจารณาให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ ต้องประกอบด้วย
1. ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และภาพรังสีปอดไม่แย่ลง
2. อุณหภูมิไม่เกิน 37.8 องศาเซลเซียส ต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมง
3. อัตราการหายใจ (Respiratory rate) ไม่เกิน 20 ครั้ง/นาที
4. ค่าออกซิเจนในเลือดมากกว่า 96% ขณะพัก
และเมื่อออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำและปฏิบัติตัวตามแนววิถีชีวิตใหม่อย่างเคร่งครัด คือ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ รักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด หรือสถานที่ที่ระบายอากาศไม่ดี โดยสามารถพักอยู่บ้านหรือไปทำงานได้ตามปกติ
ไม่ว่าจะโรค COVID 19 หรือโรคอะไรก็ตาม การตรวจเจอโรคตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพที่ดีได้ ดังนั้นก็ควรหมั่นเช็กอาการตัวเองให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อค่อนข้างสูงในทุกกรณี
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 7 มกราคม 2565
ขอบคุณข้อมูลจาก
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข