ศบค. เข้มจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด ขอประชาชนลดออกจากเคหสถานในช่วงเวลากลางวัน และกลางคืนยกเว้นจำเป็น - ห่วงผู้ป่วยโควิดพุ่ง 3 หมื่นคนต่อวัน
ภาพจาก รัฐบาลไทย
วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. ระบุว่า ในที่ประชุมมีการพูดคุยถึงการคาดการณ์ความเป็นไปได้ของการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยจากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการใช้ข้อมูลถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 คาดการณ์เหตุการณ์แย่ที่สุดหากไม่ทำอะไรเลยจะมีการติดเชื้อถึง 31,997 รายต่อวัน หากทำให้ดีที่สุดจะมีผู้ป่วยอยู่ที่ 9,018-12,605 รายต่อวัน และค่ากลาง 9,695-24,204 รายต่อวัน
หากมาตรการเกิดขึ้นโดยเร็วหากทุกคนร่วมมือค่ากลางที่เป็นค่าล่างจะยังสูงอยู่ รวมถึงมีผลการศึกษาจากธนาคารกรุงศรีฯ ที่ WHO ได้นำผลศึกษาไปอ้างอิงคาดการณ์การฉีดวัคซีนถึงปลายปี หากฉีดวัคซีนได้ดีเคสที่ดีที่สุดจะลงในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยยังสูงไปที่ 15,000 ราย ถึงช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และหากแน่ที่สุดตัวเลขจะสูงถึง 22,000 ราย ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และจะลงมาในช่วงเดือนตุลาคม หากได้ฉีดวัคซีนได้ตามที่กำหนดในช่วงไตรมาสที่ 4
โดยนายแพทย์ทวีศิลป์
กล่าวถึงข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตราเก้าของพระราชกำหนด ฉบับที่ 28
ซึ่งจะมีการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด โดย
"ในพื้นที่ของภาคกลางในที่ประชุมเมื่อเช้านี้ให้งดภารกิจที่จะต้องเดินทางออกนอกเคหสถานหรือที่พำนักโดยไม่จำเป็น
ช่วงเวลากลางวันขอให้ท่านลดการเดินทางให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้"
ขอให้เป็นการล็อกดาวน์ของพื้นที่ที่มีความเข้มงวดสูงสุด งดภารกิจการเดินทางของท่านที่ไม่จำเป็น ที่จำเป็นคือการเดินทางเพื่อการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหาร ยา เวชภัณฑ์ พบแพทย์ เข้ารับบริการทางสาธารณสุข การรักษาพยาบาลการรับวัคซีนป้องกันโรคหรือมีความจำเป็นเพื่อปฏิบัติงานหรือประกอบอาชีพที่ไม่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งหรือ WFH ได้
ภาพจาก ศูนย์ข้อมูล COVID-19
นอกจากนี้ทางฝ่ายความมั่นคงได้มีการพูดคุยกันว่า จะมีการตั้งด่าน ผู้ที่อยู่พื้นที่สีแดงเข้มหากจะออกข้างนอกจะได้รับความไม่สะดวกมาก ๆ เพราะจะมีการตั้งด่านรอบขอบนอกของพื้นที่ 6+ 3 จังหวัดอย่างเข้มข้น โดยจะมีชุดตรวจเข้มแข็งกระจายอยู่ในขอบของ 9 จังหวัด ที่จะมีด่านตรวจทั้งเข้าและออก ทั้งนี้ระหว่างสมุทรปราการออกไปทางภาคตะวันออก จะมีด่านภายในเป็นด่านเข้มแข็งเพิ่มขึ้น ทางที่ประชุมได้แจ้งว่า จะมี 3 แนวทางที่เข้มข้นขึ้นคือ
1. การแสดงหลักฐานการอนุญาตต่อเจ้าพนักงานในพื้นที่ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต หัวหน้าสถานีตำรวจ ที่ได้ขอมา
2. ต้องผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะที่ด่านตรวจด้วย
3. ต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ COVID-19.in.th ซึ่งจะได้รับคิวอาร์โค้ดออกมาเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจ ซึ่งขณะนี้ทางด่านกำลังตรวจสอบระบบ
ดังนั้นหากไม่จำเป็นขอให้อย่าเดินทางอยู่ในเคหสถานเท่านั้น เพราะขณะนี้ทั่วโลกใช้วิธีการล็อกดาวน์ โดยมาตรการดังกล่าวจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้
ภาพจาก ศูนย์ข้อมูล COVID-19
บุคคลที่จะได้รับการยกเว้นมี 6 กลุ่ม
1. ด้านสาธารณสุข
2. การขนส่งเพื่อประโยชน์ของประชาชน อาหารยาเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภคผลผลิตทางการเกษตร น้ำมัน เชื้อเพลิง ไปรษณีย์พัสดุภัณฑ์ สิ่งพิมพ์ สินค้าเพื่อการส่งออกหรือนำเข้า
3. การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน
4. การให้การบริการอำนวยประโยชน์เพื่อความสะดวกแก่ประชาชน
5. การประกอบอาชีพที่จำเป็น
6. อื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะรายกรณีของเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตามคนใน 13 จังหวัดจะถูกบล็อกไว้ ไม่ให้ออกไปง่าย ๆ เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงส่วนคนที่อยู่ข้างนอกจะเข้ามาได้ แต่ต้องมีความจำเป็นจริง ๆ โดยจะใช้ 13 จังหวัดนี้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และทำให้เต็มที่ใน 14 วัน
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าว INN
ภาพจาก รัฐบาลไทย
วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. ระบุว่า ในที่ประชุมมีการพูดคุยถึงการคาดการณ์ความเป็นไปได้ของการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยจากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการใช้ข้อมูลถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 คาดการณ์เหตุการณ์แย่ที่สุดหากไม่ทำอะไรเลยจะมีการติดเชื้อถึง 31,997 รายต่อวัน หากทำให้ดีที่สุดจะมีผู้ป่วยอยู่ที่ 9,018-12,605 รายต่อวัน และค่ากลาง 9,695-24,204 รายต่อวัน
หากมาตรการเกิดขึ้นโดยเร็วหากทุกคนร่วมมือค่ากลางที่เป็นค่าล่างจะยังสูงอยู่ รวมถึงมีผลการศึกษาจากธนาคารกรุงศรีฯ ที่ WHO ได้นำผลศึกษาไปอ้างอิงคาดการณ์การฉีดวัคซีนถึงปลายปี หากฉีดวัคซีนได้ดีเคสที่ดีที่สุดจะลงในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยยังสูงไปที่ 15,000 ราย ถึงช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และหากแน่ที่สุดตัวเลขจะสูงถึง 22,000 ราย ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และจะลงมาในช่วงเดือนตุลาคม หากได้ฉีดวัคซีนได้ตามที่กำหนดในช่วงไตรมาสที่ 4
ขอให้เป็นการล็อกดาวน์ของพื้นที่ที่มีความเข้มงวดสูงสุด งดภารกิจการเดินทางของท่านที่ไม่จำเป็น ที่จำเป็นคือการเดินทางเพื่อการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหาร ยา เวชภัณฑ์ พบแพทย์ เข้ารับบริการทางสาธารณสุข การรักษาพยาบาลการรับวัคซีนป้องกันโรคหรือมีความจำเป็นเพื่อปฏิบัติงานหรือประกอบอาชีพที่ไม่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งหรือ WFH ได้
ภาพจาก ศูนย์ข้อมูล COVID-19
นอกจากนี้ทางฝ่ายความมั่นคงได้มีการพูดคุยกันว่า จะมีการตั้งด่าน ผู้ที่อยู่พื้นที่สีแดงเข้มหากจะออกข้างนอกจะได้รับความไม่สะดวกมาก ๆ เพราะจะมีการตั้งด่านรอบขอบนอกของพื้นที่ 6+ 3 จังหวัดอย่างเข้มข้น โดยจะมีชุดตรวจเข้มแข็งกระจายอยู่ในขอบของ 9 จังหวัด ที่จะมีด่านตรวจทั้งเข้าและออก ทั้งนี้ระหว่างสมุทรปราการออกไปทางภาคตะวันออก จะมีด่านภายในเป็นด่านเข้มแข็งเพิ่มขึ้น ทางที่ประชุมได้แจ้งว่า จะมี 3 แนวทางที่เข้มข้นขึ้นคือ
1. การแสดงหลักฐานการอนุญาตต่อเจ้าพนักงานในพื้นที่ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต หัวหน้าสถานีตำรวจ ที่ได้ขอมา
2. ต้องผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะที่ด่านตรวจด้วย
3. ต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ COVID-19.in.th ซึ่งจะได้รับคิวอาร์โค้ดออกมาเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจ ซึ่งขณะนี้ทางด่านกำลังตรวจสอบระบบ
ดังนั้นหากไม่จำเป็นขอให้อย่าเดินทางอยู่ในเคหสถานเท่านั้น เพราะขณะนี้ทั่วโลกใช้วิธีการล็อกดาวน์ โดยมาตรการดังกล่าวจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้
ภาพจาก ศูนย์ข้อมูล COVID-19
บุคคลที่จะได้รับการยกเว้นมี 6 กลุ่ม
1. ด้านสาธารณสุข
2. การขนส่งเพื่อประโยชน์ของประชาชน อาหารยาเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภคผลผลิตทางการเกษตร น้ำมัน เชื้อเพลิง ไปรษณีย์พัสดุภัณฑ์ สิ่งพิมพ์ สินค้าเพื่อการส่งออกหรือนำเข้า
3. การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน
4. การให้การบริการอำนวยประโยชน์เพื่อความสะดวกแก่ประชาชน
5. การประกอบอาชีพที่จำเป็น
6. อื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะรายกรณีของเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตามคนใน 13 จังหวัดจะถูกบล็อกไว้ ไม่ให้ออกไปง่าย ๆ เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงส่วนคนที่อยู่ข้างนอกจะเข้ามาได้ แต่ต้องมีความจำเป็นจริง ๆ โดยจะใช้ 13 จังหวัดนี้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และทำให้เต็มที่ใน 14 วัน
>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID 19 << ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าว INN