สมาคมโรคติดเชื้อฯ ออกแถลงการณ์ เผยไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรง หลัง กทม. จ่อใช้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มสีเขียว ชี้ สงวนยาไว้ใช้กับคนที่ป่วยที่น่าจะได้ประโยชน์สูงสุดดีกว่า
ภาพจาก Myriam B / Shutterstock.com
วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ หลังจากที่ กทม. มีการเสนอข่าวว่า "แพทย์เชี่ยวชาญเห็นชอบ
กทม. ใช้ฟาวิพิราเวียร์ รักษาโควิด 19 ในผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว"
โดยกรณีดังกล่าวนั้น ทางสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้ขอชี้แจงความเห็นของสมาคมดังนี้
1. ผู้ป่วยหลักพันคน นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จนถึงปัจจุบัน ได้รับการรักษาโรงพยาบาลคณะแพทยศาสตร์หลายแห่ง โดยกลุ่มที่ไม่มีอาการ และไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ไม่ได้รับยาต้านไวรัสใด ๆ นอกจากยาตามอาการ ก็หายเป็นปกติได้
2. มีการศึกษาวิจัยการให้ยาฟาวิพิราเวียร์ในประเทศญี่ปุ่น โดยให้ยาผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการตั้งแต่วันแรกที่มาโรงพยาบาล เทียบกับการรอ 6 วันแล้วจึงให้ยา ปรากฏว่าทั้งสองกลุ่มไม่มีผู้ป่วยที่ป่วยมากขึ้นจนมีภาวะปอดอักเสบ และผู้ป่วยหายได้ทุกราย
3. การรักษาตามอาการสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อย หรือไม่มีอาการ เป็นไปตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แนวทางดังกล่าวมีการปรับปรุงมาเป็นระยะตามข้อมูลทางวิชาการที่มีมากขึ้น ในแนวทางการรักษาปัจจุบันจะแนะนำให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหากมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น สูงอายุ อ้วน มีโรคประจำตัว เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ตามเกณฑ์การแพทย์จัดเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง
4. ทางสมาคมฯ เข้าใจและรู้สึกขอบคุณในความปรารถนาดีของหลายฝ่ายที่ต้องการยาต้านไวรัสให้กับผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด และมีความเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะให้ยาดังกล่าวแก่ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย และไม่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น
การให้ยาโดยไม่มีความจำเป็นจะเป็นแรงกดดันให้เชื้อดื้อต่อยาได้ง่ายในอนาคตและอาจเป็นปัญหาในการรักษา ขณะนี้ควรสงวนยานี้ไว้กับผู้ป่วยที่น่าจะได้ประโยชน์สูงสุดตามแนวทางการรักษาโรคโควิด 19 หากมีกระบวนการที่จะวินิจฉัยและจัดกลุ่มผู้ป่วยที่ฉับไว รวมทั้งการบริหารจัดการที่คล่องตัวเพื่อให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้ยา ให้ได้ยาตามเวลาที่เหมาะสมก็จะเกิดความปลอดภัย และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องให้ยาแก่ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวแต่อย่างใด
>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID-19 << ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย