จากกรณีรัฐบาลประกาศมาตรการเข้มข้นเพื่อป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 โดยประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และสั่งเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ห้ามประชาชนออกนอกเคหสถาน ช่วงเวลา 22.00-04.00 น. โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ตรวจตราอย่างเข้มงวด
- คืนวันที่ 3 ถึงเช้า 4 เมษายน มีคนฝ่าฝืน 185 ราย ดำเนินคดี 42 ราย
- คืนวันที่ 4 ถึงเช้า 5 เมษายน มีคนฝ่าฝืน 583 ราย ดำเนินคดี 303 ราย
- คืนวันที่ 5 ถึงเช้า 6 เมษายน มีคนฝ่าฝืน 998 ราย ดำเนินคดี 708 ราย
- คืนวันที่ 6 ถึงเช้า 7 เมษายน มีคนฝ่าฝืนเพิ่มเป็น 1,293 ราย ดำเนินคดี 1,047 ราย
โดยจำนวนผู้ฝ่าฝืน 4 วัน ที่ผ่านมา รวมแล้วมากถึง 3,059 คน ทั้งนี้ มาตรการของรัฐจะเข้มงวดมากขึ้นแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเลขเหล่านี้ ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือคงไม่มีมาตรการเข้มขึ้น แต่ถ้ายังไม่เรียบร้อยกันแบบนี้ ก็คงต้องมีมาตรการเข้มข้นมากขึ้น
ขณะที่ สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา เปิดเผยว่า นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า
การฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทุกคดี พนักงานอัยการมีคำขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก
ซึ่งศาลได้ใช้ดุลยพินิจลงโทษจำเลยตามคำขอ เช่น ข้อหามั่วสุม
พนักงานอัยการฟ้องต่อศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ให้ลงโทษจำคุก 2-4 เดือน
โดยไม่รอลงอาญา หรือรอการลงโทษ
โดยคดีที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุด ได้แก่ การออกนอกเคหสถาน ช่วงอายุที่ทำความผิดมากที่สุด คือ อายุ 20-35 ปี รองลงมาคือ อายุ 35-55 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กระทรวงสาธารณสุขให้ระมัดระวังในการแพร่เชื้อ
ส่วนจังหวัดที่มีสถิติผู้ติด COVID 19 สูง เช่น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ ก็เป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สูงเช่นกัน โดยทางอัยการสูงสุด ได้กำชับให้พนักงานอัยการทั่วประเทศบังคับใช้กฎหมายอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด
สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดีที่ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พนักงานสอบสวนต้องสรุปสำนวนส่งต่อพนักงานอัยการภายใน 48 ชั่วโมง จากนั้นคดีจะขึ้นสู่ศาลแขวง โดยขอเตือนไปยังประชาชนให้เคารพกฎหมาย เพราะเจ้าพนักงานจะบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเด็ดขาดในทุกข้อหา และจะขอให้ศาลลงโทษสถานหนักด้วย
ภาพจาก Sedthawit Tangsumpant / Shutterstock.com
ภาพจาก SoLoKnight / Shutterstock.com
>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID-19 << ได้ที่นี่
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เฟซบุ๊ก Live NBT2HD, สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา