สนามบินอู่ตะเภา ยันตรวจเข้มนักบิน ทหารอียิปต์ ตามระเบียบ ศบค. ทั้งขาเข้า-ขาออก แต่ไม่พบผิดปกติ ชี้กลุ่มคนดังกล่าวได้สิทธิ์ยกเว้น ไม่ต้องกักตัว 14 วัน ทั้งคณะมีทั้งหมด 31 คน ไม่ทราบใครคือผู้ติดเชื้อ โควิด 19 แต่มี 1 คน หนีออกมาข้างนอกระหว่างที่เข้าพัก
จากกรณีศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยข้อมูลพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยหนึ่งในนั้นเป็นทหารสัญชาติอียิปต์ ติด โควิด -19 ซึ่งเดินทางมาพร้อมลูกเรือเข้าประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้พบว่า
ทหารนายดังกล่าวได้ไปมาหลายประเทศ และเดินทางมาที่ประเทศไทย
ก่อนจะออกไปเดินห้างสรรพสินค้าในจังหวัดระยอง
จนทำให้ประชาชนจำนวนมากต่างพากันตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานในการคัดกรองนายทหารคนดังกล่าวของสนามบินอู่ตะเภา
ว่ามีความหละหลวม ปล่อยให้ผู้ป่วย โควิด 19 หลุดเข้าประเทศนั้น
อ่านข่าว : เปิดไทม์ไลน์ทหารติดโควิด 19 หลังมาจากอียิปต์ พบแวะไปห้างดัง ไร้กักตัว 14 วัน
ภาพจาก utapao.com
ล่าสุด วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า พล.ร.ท. กฤชพล เรียงเล็กจำนงค์ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า ขั้นตอนการปฏิบัติสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในท่าอากาศยานอู่ตะเภา ต้องปฏิบัติการตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด โดยการท่าอากาศยานอู่ตะเภา จะมีศูนย์ปฏิบัติการที่แต่งตั้งขึ้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำสั่งของ ศบค. ที่นายกรัฐมนตรีลงนามไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการออกกฎ กติกา การบริหารจัดการต่าง ๆ
ซึ่งทางสนามบินอู่ตะเภา มีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ มีคณะทำงาน ที่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาปฏิบัติงาน ร่วมกับทาง ตม. ทำการคัดกรองโรคหรือสอบสวนโรค PUI หากไม่พบผู้ต้องสงสัย หรือไม่มีผู้ใดมีพฤติการณ์ที่เสี่ยงต่อการติดต่อของโรค หรือไม่พบภาวะผิดปกติใด ๆ ขั้นตอนก็จบลง และส่งต่อไปเข้าที่พัก ส่วนที่รับผิดชอบคือ สาธารณสุขจังหวัดระยอง เพื่อรอการประเมินการคัดกรองทาง State Quarantine ก็จะรับไป
ภาพจาก rayonghip
ทั้งนี้ พบว่าคณะดังกล่าวมีทั้งหมด 31 คน คาดว่ามีเพียง 1 คน ในคณะนั้น ที่หนีออกมาข้างนอกระหว่างที่เข้าพัก แต่ข้อมูลที่ถูกต้องจะต้องมีการตรวจสอบกับทาง ศบค. อีกครั้ง ซึ่งยังไม่ทราบว่าคนที่หนีออกมาคือคนที่ตรวจพบเชื้อ COVID 19 หรือไม่ แต่ยืนยันได้ว่าขั้นตอนการตรวจสนามบินไม่พบความผิดปกติ ซึ่งการตรวจสอบก็ทำด้านนอกเทอร์มินอล ไม่ได้เข้ามาปะปนกับในอาคารผู้โดยสาร
โดยกรณีนี้เป็นลักษณะของเครื่องบินของรัฐ มีการแจ้งเข้า-ออกในประเทศล่วงหน้า และต้องรับอนุญาตในเรื่องแผนการบิน และตารางการอยู่ในประเทศ ซึ่งมีหน่วยงานรับผิดชอบอยู่แล้ว ที่ประเทศต้นทางจะต้องประสานมาทางกระทรวงการต่างประเทศ สถานทูตในประเทศไทย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นขั้นตอนทางการทูต หรือ Diplomatic Clearance ซึ่งการท่าอากาศยานฯ ไม่มีอำนาจไปยับยั้ง แต่มีอำนาจในการตรวจสอบตามมาตรการที่กำหนด เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก The Reporters
อ่านข่าว : เปิดไทม์ไลน์ทหารติดโควิด 19 หลังมาจากอียิปต์ พบแวะไปห้างดัง ไร้กักตัว 14 วัน
ภาพจาก utapao.com
ล่าสุด วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า พล.ร.ท. กฤชพล เรียงเล็กจำนงค์ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า ขั้นตอนการปฏิบัติสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในท่าอากาศยานอู่ตะเภา ต้องปฏิบัติการตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด โดยการท่าอากาศยานอู่ตะเภา จะมีศูนย์ปฏิบัติการที่แต่งตั้งขึ้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำสั่งของ ศบค. ที่นายกรัฐมนตรีลงนามไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการออกกฎ กติกา การบริหารจัดการต่าง ๆ
ซึ่งทางสนามบินอู่ตะเภา มีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ มีคณะทำงาน ที่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาปฏิบัติงาน ร่วมกับทาง ตม. ทำการคัดกรองโรคหรือสอบสวนโรค PUI หากไม่พบผู้ต้องสงสัย หรือไม่มีผู้ใดมีพฤติการณ์ที่เสี่ยงต่อการติดต่อของโรค หรือไม่พบภาวะผิดปกติใด ๆ ขั้นตอนก็จบลง และส่งต่อไปเข้าที่พัก ส่วนที่รับผิดชอบคือ สาธารณสุขจังหวัดระยอง เพื่อรอการประเมินการคัดกรองทาง State Quarantine ก็จะรับไป
ภาพจาก rayonghip
ทั้งนี้ พบว่าคณะดังกล่าวมีทั้งหมด 31 คน คาดว่ามีเพียง 1 คน ในคณะนั้น ที่หนีออกมาข้างนอกระหว่างที่เข้าพัก แต่ข้อมูลที่ถูกต้องจะต้องมีการตรวจสอบกับทาง ศบค. อีกครั้ง ซึ่งยังไม่ทราบว่าคนที่หนีออกมาคือคนที่ตรวจพบเชื้อ COVID 19 หรือไม่ แต่ยืนยันได้ว่าขั้นตอนการตรวจสนามบินไม่พบความผิดปกติ ซึ่งการตรวจสอบก็ทำด้านนอกเทอร์มินอล ไม่ได้เข้ามาปะปนกับในอาคารผู้โดยสาร
โดยกรณีนี้เป็นลักษณะของเครื่องบินของรัฐ มีการแจ้งเข้า-ออกในประเทศล่วงหน้า และต้องรับอนุญาตในเรื่องแผนการบิน และตารางการอยู่ในประเทศ ซึ่งมีหน่วยงานรับผิดชอบอยู่แล้ว ที่ประเทศต้นทางจะต้องประสานมาทางกระทรวงการต่างประเทศ สถานทูตในประเทศไทย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นขั้นตอนทางการทูต หรือ Diplomatic Clearance ซึ่งการท่าอากาศยานฯ ไม่มีอำนาจไปยับยั้ง แต่มีอำนาจในการตรวจสอบตามมาตรการที่กำหนด เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเท่านั้น
>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID-19 << ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก The Reporters